วันอังคาร, ตุลาคม 13, 2558

พฤติกรรมตำรวจจากกรณีจลาจลเผารถ สถานีตำรวจ อ.ถลาง เปิดโฉมวัฒนธรรมอำนาจนิยม ระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย ที่แก้กันด้วยการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ กดขี่ ป่าเถื่อนล้าหลัง...




พฤติกรรมตำรวจจากกรณีจลาจลเผารถและขว้างปาทำลายอาคารสถานีตำรวจ อ.ถลาง มิใช่เป็นเรื่องเลวร้ายเพียงเฉพาะในท้องที่หนึ่งเท่านั้น ที่ชาวบ้านใช้ความรุนแรงตอบโต้การข่มเหงจากเจ้าหน้าที่รัฐ

หากมันเป็นสัญญลักษณ์ของวัฒนธรรมอำนาจนิยม และระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยโดยรวม ที่แก้กันด้วยการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จแล้วยิ่งถลำลึกลงไปในบรรยากาศกดขี่ และยิ่งชอกช้ำระบมกับสภาพป่าเถื่อนล้าหลัง

เหตุร้ายที่ภูเก็ตลงเอยด้วยชีวิตสองเด็กวัยรุ่นเสียไปโดยมิควร ทรัพย์สินราชการและสมบัติเอกชนวอดวาย รถสิบคันไหม้เหลือแต่ซาก ประตูและป้ายสถานีตำรวจพังพินาศ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องใช้สนามบินภูเก็ตตกเครื่องระนาว ได้รับความลำบากยุ่งยากชนิดที่อาจเข็ดหลาบกับการเที่ยวไทย

ความวุ่นวายสงบลงหลังจากที่กำลังทหารออกมาควบคุมสถานการณ์ ตามด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดตั้งกรรมการสอบตำรวจสองนาย ชี้ให้เห็นว่าในสังคมไทยนี้จะราบรื่นเรียบร้อยได้ก็แต่เมื่อใช้อำนาจปลายกระบอกปืน ท่ามกลางการแบ่งแยกแตกขั้ว เพราะเปิดช่องให้ฝักฝ่ายการเมืองหนึ่งมุสากล่าวหาโจมตีอีกฟากว่าเป็นผู้ร้ายได้อย่างเพลินปาก

(http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php…)

การโพสต์พล่อยของ นพ.ตุลย์ ศรีสมวงศ์ ว่ากลุ่มประท้วงที่เผารถหน้า สภ. ถลาง เป็นน้ำมือของเสื้อแดง (เครือข่ายสนับสนุนรัฐบาลชุดที่ถูกรัฐประหาร)




เช่นนี้เป็นสัญญานของอาการก้าวร้าวเดียดฉันท์ มาดร้าย และไม่ปรองดอง จองล้างจองผลาญ อันจะนำไปสู่สภาพแตกสะบั้น ห้ำหั่นต่อกันของคนในชาติ เกิดความสูญเสียแก่ทั้งสองฝ่ายจนกระทั่งล่มสลาย หากไม่มีการยั้งคิด และหันไปหาวิธีการประนีประนอม

ยังมีอีกมากมายในพฤติกรรมทำนองเดียวกันนี้จากเจ้าหน้าที่ หรือชนชั้นผู้มีอิทธิพล กระทำต่อประชาชนธรรมดาทั่วไป ที่ทำให้บุคคลิกการเป็นชาติไทยเป็นที่หมิ่นแคลนและรังเกียจจากชุมชนนานาชาติ ทั้งที่ใช้ชั้นเชิงปกปิดซ่อนเร้น ก็ยังไม่พ้นโดนประจาน

คดีฆ่าอนาถสองหนุ่มสาวนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ที่ยึดยื้อมาเป็นเวลากว่าปีจนกระทั่งมีการสืบพยานจำเลยครั้งสุดท้ายก่อนที่ศาลจะทำการพิพากษาในวันที่ ๒๔ ธันวาคม ปลายปีนี้ ปรากฏว่านาย ไว เปียว หนุ่มชาวพม่าวัย ๒๒ ปี จำเลยคนหนึ่งที่อยู่อาศัยทำมาหากินเป็นแรงงานรับจ้างบนเกาะเต่า ให้การต่อผู้พิพากษาสามนายที่นั่งบัลลังก์ศาล เปิดโปงพฤติกรรมข่มขู่ ทำร้าย ทรมานโยตำรวจให้จำเลยรับสารภาพ

จำเลยทั้งสองกลับคำให้การหลังจากที่ได้คุยกับทนายในเดือนตุลาคม หนึ่งเดือนหลังจากถูกจับกุมเมื่อปีที่แล้ว จนเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมานายซอ ลิน แรงงานพม่าวัยไล่เรี่ยกัน จำเลยอีกคนได้ให้การต่อศาลถึงวิธีการข่มขู่ทรมานต่างๆ ของตำรวจ จนเขาต้องยอมรับสารภาพตามที่ตำรวจต้องการ




คราวนี้นายไว เปียวบอกกับศาลว่าเขาถูกข่มขู่ว่าจะถูกไฟฟ้าช็อต สับร่างเป็นชิ้นๆ ทิ้งทะเล จากนั้นถูกจับแก้ผ้ายัดใส่ห้องเย็น แล้วก็ถูกเตะ ต่อย ตบ บีบอวัยวะเพศ เจ็บปวดมากจนต้องยอมสารภาพ
(http://www.edp24.co.uk/…/i_was_sexually_abused_by_thai_poli…)

คดีสังหารแฮนนาห์ วิทเธอริดจ์ กับเดวิด มิลเลอร์ ด้วยจอบอย่างโหดเหี้ยมเลือดเย็นบนชายหาดเกาะเต่านี้เป็นที่สนใจของสื่อต่างประเทศอย่างมาก แต่แทบจะไม่มีปรากฏรายงานข่าวรูปคดีในสื่อไทย เนื่องจากรูปการณ์น่าสงสัยว่าตำรวจท้องที่พยายามปกป้องคนผิดที่เป็นผู้มีอิทธิพลบนเกาะ และการจับกุมสองแรงงานพม่า น่าจะเป็นการ ‘จับแพะ’ เสียมากกว่า

ทางการตำรวจอังกฤษส่งเจ้าหน้าที่มาสังเกตุการณ์คดีแล้วชี้ว่ากระบวนการสอบสวนและการจัดเก็บหลักฐานยังขาดประสิทธิภาพ ขณะที่สื่อในอังกฤษตีแผ่ประเด็นอิทธิพลมาเฟียและการแพร่หลายของยาเสพติดบนเกาะ รวมไปถึงพฤติกรรมซ้อมผู้ต้องหาของตำรวจไทยอย่างโจ๋งครึ่ม

โดยที่คำให้การต่อศาลของจำเลยพม่าทั้งสองเรื่องถูกทรมานให้สารภาพปรากฏบนสื่อต่างประเทศกว้างขวางขนาดนี้แล้ว หากในเดือนธันวาคมศาลไทยยังตัดสินลงทัณฑ์แพะทั้งที่ในมาตรฐานสากลคดีนี้อย่างดีก็ยกฟ้อง อย่างร้ายให้ดำเนินคดีกลับต่อตำรวจที่สอบสวน ละก็

ความล้าหลัง ไม่น่าเชื่อถือของกระบวนยุติธรรมไทย จะกลายเป็นชนักปักหลังประเทศ เป็นที่รังเกียจของนานาชาติต่อไปอีกนาน