โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข” ฉบับวันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2558
แนวทางของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นับแต่ชนะเลือกตั้ง
3 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นมา คือการเดินแนวทางคู่ขนาน
โดยด้านหนึ่ง มุ่งสลายคนเสื้อแดงจากขบวนเคลื่อนไหวการเมืองไปเป็นเพียงฐานคะแนนเสียงเลือกตั้ง
และอีกด้านหนึ่งคือ แสวงหาการ “นิรโทษกรรมเหมาเข่ง” โดยพ.ต.ท.ทักษิณเชื่อว่า
นี่จะสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศและแก้ปัญหาของตนเองได้
(คือกลับประเทศไทย “แบบเท่ ๆ”)
พ.ต.ท.ทักษิณและตระกูลชินวัตรยังคงมีความเพ้อฝันลมๆ
แล้งๆ ที่จะประนีประนอม ได้รับความเมตตาและอภัยจากพวกจารีตนิยมอยู่ตลอดเวลา หวังที่จะกลับเข้าไปอยู่ในร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเขาอยู่ทุกวันคืน
ดังที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้เคยกล่าวไว้ในที่ชุมนุมคนเสื้อแดงครั้งหนึ่งว่า ตนเป็น
“สุนัขบ้าน” ที่ถึงอย่างไรก็รัก ซื่อสัตย์ภักดีต่อเจ้าของ นี่คือโซ่ตรวนทางความคิดที่พ.ต.ท.ทักษิณและตระกูลชินวัตรไม่เคยคิดที่จะสลัดทิ้งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ความเพ้อฝันนี้ทำให้พวกเขาตกลงไปในกลลวงของฝ่ายตรงข้ามครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่รู้จักถอดถอนบทเรียน
และ “เหยื่อล่อ” ที่ดีที่สุดที่ฝ่ายนั้นใช้เพื่อให้พ.ต.ท.ทักษิณทำลายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและขบวนคนเสื้อแดงด้วยน้ำมือของตนเองก็คือ
“นิรโทษกรรมเหมาเข่ง”
พ.ต.ท.ทักษิณได้รับ “สัญญาณเหมาเข่ง”
ครั้งแรกเมื่อพฤษภาคม 2555 ด้วยความมั่นใจว่าจะประนีประนอมกับพวกจารีตนิยมได้สำเร็จ
ถึงขั้นประกาศในที่ชุมนุมคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ว่า “ประชาชนพาตนมาขึ้นบกแล้ว ตนจะไปขึ้นเขา
พี่น้องไม่ต้องแบกเรือตามมา ขอให้แยกย้ายกลับบ้าน” ซึ่งก็คือ
ขอให้สลายขบวนคนเสื้อแดงเสีย แล้วหลังจากนั้น พรรคเพื่อไทยก็เร่งผลักดัน
พรบ.ปรองดองแห่งชาติ (ฉบับเหมาเข่ง) อย่างเร่งรีบ ซึ่งก็ล้มเหลวในที่สุด
การผลักดันพรบ.นิรโทษกรรมเหมาเข่งในเดือนตุลาคม
2556 ก็เหมือนครั้งแรกคือ เกิดจากการประเมินท่าทีฝ่ายตรงข้ามและพลังความเข้มแข็งของตนผิดพลาด
พอได้รับ “สัญญาณเหมาเข่ง” จากฝ่ายตรงข้าม ก็รีบกระโดดเข้าตะครุบทันทีด้วยอาการดีใจลิงโลดว่าได้บรรลุหนทางสุดท้ายในการแก้ปัญหาของตนเสียที
เสียงข้างมากเด็ดขาดของพรรคเพื่อไทยในสภาผู้แทนราษฎร
ความมั่นคงของรัฐบาลตลอดปี 2554-56 และคะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์
ทำให้ตระกูลชินวัตรเกิดความมั่นใจ ประเมินความแข็งแกร่งของตนเกินจริง หลงในอำนาจ
เชื่อว่าด้วยเสียงข้างมากในสภาผนวกกับ “สัญญานเหมาเข่งที่ดีวันดีคืน” ก็เพียงพอแล้วที่จะทำอะไรก็ได้ในทางการเมือง
โดยไม่ต้องสนใจวิธีการและความชอบธรรมในสายตาประชาชนทั้งสิ้น พวกเขาจึงกล้าลงมือกระทำการ
“ลักหลับในสภา” ด้วยการประกาศอย่างแข็งขันเป็นคำสัตย์ต่อสาธารณชนว่า
จะไม่มีการแปรญัตติเป็นเหมาเข่งในวาระสองของการพิจารณาพรบ.นิรโทษกรรมเป็นอันขาด แล้วคำสัตย์ก็กลายเป็น
“คำโกหกระดับชาติ” เมื่อพวกเขาทำการหมกเม็ดยัดไส้ แก้หลักการให้เป็น
“เหมาเข่งสุดซอย” แล้วโมเมเร่งรัดลงมติผ่านวาระสองในลักษณะ “โจรตีหัวเข้าบ้าน”
ทักษิณกับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยืนข้างกำแพงยักษ์ |
ทั้งเนื้อหาของพรบ.นิรโทษกรรมเหมาเข่งและวิธีการสกปรกที่ใช้ในการผลักดันกฎหมายนี้
ได้ทำลายความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยลงอย่างสิ้นเชิงในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน
และที่สำคัญคือ
ได้ทำลายความชอบธรรมของระบอบรัฐสภาและการเมืองแบบเสียงข้างมากไปจนหมดสิ้น แล้วยังสร้างความแตกแยกขนานใหญ่ในขบวนคนเสื้อแดง
และกระตุ้นความโกรธแค้นอย่างรุนแรงในหมู่ชนชั้นกลางในเมืองที่ไม่พอใจรัฐบาลอยู่แล้ว
เปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามซึ่งรอคอยที่จะโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมาสองปี
ได้โอกาสลงมือ ก่อกระแสมวลชนหลายแสนคนทั่วประเทศเพื่อคัดค้านนิรโทษกรรมเหมาเข่งโดยแกนนำพรรคประชาธิปัตย์
กลุ่มฟัสซิสต์ และกลุ่มอันธพาลติดอาวุธ ขยายผลไปเป็นการขับไล่รัฐบาล
สร้างสถานการณ์จลาจลนองเลือดยืดเยื้อที่รัฐบาลควบคุมไม่ได้ เป็นความชอบธรรมให้กับการก่อรัฐประหาร
22 พฤษภาคม 2557 ในที่สุด
ในการรับมือกระแสต่อต้านคัดค้านอย่างกว้างขวาง
ตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยที่เคย “ฮึกเหิมและอหังการ์” ตอนผลักดันเหมาเข่ง ก็กลายเป็น
“ขวัญเสีย ตาลีตาลาน แตกตื่น” ถอยกรูดอย่างไม่มีกระบวนท่าใดๆ ทั้งสิ้น กระทำการผิดพลาดซ้ำซ้อนมากขึ้น
ตั้งแต่การยอมยุบสภาตาม “คำขอมา” เมื่อวันที่ 10
ธันวาคม 2556 ทำให้รัฐบาลเป็นเพียงรักษาการที่ไม่มีอำนาจสั่งการใดๆ
การไม่ปกป้องการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 ปล่อยให้มวลชนอันธพาลและกลุ่มติดอาวุธก่อจลาจลทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั่วกรุงเทพฯได้อย่างเสรี
กระทั่งทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกรัฐบาลห้ามติดอาวุธใดๆ
จนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ทั้งหมดนี้ยิ่งเป็นการทำลายภาวะการนำของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลลงไปเรื่อยๆ
จากนั้นตระกูลชินวัตรก็กระทำการผิดพลาดที่ร้ายแรงครั้งสุดท้ายคือ
การตกลงร่วมมือ “ซุปเปอร์ดีล” กับกลุ่มทหารที่ก่อรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ด้วยข้อแลกเปลี่ยนที่กลุ่มทหารจะไม่กระทำการใดๆ
ต่อตระกูลชินวัตร ขณะที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะไม่ต่อต้านรัฐประหารไม่ว่าในทางใด
อีกทั้งจะให้ “ความร่วมมือ” กับคณะรัฐประหารแต่โดยดีในการ “ทำความเข้าใจ”
กับเครือข่ายคนเสื้อแดงมิให้เคลื่อนไหวต่อต้าน
ตระกูลชินวัตรเลือกที่จะทำ
“ซุปเปอร์ดีล” กับทหารกลุ่มนี้ นอกจากเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตประชาชนที่อาจจะเกิดขึ้นจากการต้านรัฐประหารแล้ว
ยังเป็นผลมาจากแนวทางยอมจำนน มุ่งเอาแต่ต่อรองแลกผลประโยชน์ระดับ “บุคคล” โดยไร้หลักการ
พวกเขาจึงยอมถอยทุกทาง ยอมเสียทุกอย่างเพราะเชื่อว่า พวกตนมี “ไม้เด็ดสุดท้าย” คือ
“ไพ่ตองแจ๊ค” อยู่ในมือ ซึ่งเพียงแต่รอเวลาที่จะเปลี่ยนเป็น “ไพ่ตองคิง”
เอาชนะคู่กรณี “กินรอบโต๊ะ” ได้ในที่สุด
กลุ่มทหารจึงสามารถเข้ายึดอำนาจได้อย่างราบรื่น
และในระยะแรกก็ดูเหมือนจะทำตาม “ซุบเปอร์ดีล” นั้น แต่ในช่วงพฤศจิกายน-ธันวาคม 2557 กลุ่มปกครองสามส่วนอันได้แก่ พวกจารีตนิยม กลุ่มอำมาตย์ และกลุ่มทหาร
ก็สามารถประสานผลประโยชน์กันลงตัว บริหารจัดการ “การเปลี่ยนผ่าน” ในเบื้องต้นได้ราบรื่น
ความจำเป็นที่กลุ่มทหารจะ “เว้นตระกูลชินวัตรไว้ชั่วคราว” จึงหมดไป นับแต่ต้นปี 2558 จึงเป็นการเริ่มกระบวนการจัดการกับตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นระบบ
โดยเริ่มจากการถอดถอนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
และอัยการสูงสุดสั่งฟ้องคดีโครงการจำนำข้าวในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
การประสานผลประโยชน์กันได้สำเร็จภายในกลุ่มปกครอง
การที่ตระกูลชินวัตรได้สร้างความแตกแยกในขบวนคนเสื้อแดงอย่างถึงรากในกรณีเหมาเข่ง
และท้ายสุดคือ การสูญเสีย “ไพ่ตองแจ๊ค” ในมือไป ได้ทำให้ตระกูลชินวัตรอ่อนแอลงในทางการเมืองอย่างมาก
ทำให้สถานะต่อรองของพวกเขาหมดสิ้นไป ถึงกระนั้น คดีอาญาของนางสาวยิ่งลักษณ์จะทำให้ตระกูลชินวัตรยิ่งวิงวอนและหาทางประนีประนอมมากขึ้น
หากพวกเขายังจะเดินแนวทางนี้ต่อไป หนทางข้างหน้าของตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยก็จะมีแต่จะถูกแยกสลายและถูกทำลายในที่สุด