จากบทความ 'บทเรียน ๒๒ พ.ค. ๕๗ (๓) : ขบวนเสื้อแดง' โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน ‘โลกวันนี้วันสุข’ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2558
ขบวนคนเสื้อแดงนับเป็นการเคลื่อนไหวของมวลชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย
ที่มีลักษณะกว้างขวางและมีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่
พวกเขาก่อตัวขึ้นภายใต้การประจวบเหมาะของเงื่อนไขเศรษฐกิจการเมืองไทยในยุคโลกาภิวัฒน์
นับแต่ปี 2535 เศรษฐกิจไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ
การเข้าร่วมความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) การเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก
การเคลื่อนย้ายเงินทุนขนานใหญ่จากเอเชียตะวันออกมายังประเทศไทย
ทำให้ภาคเศรษฐกิจต่างประเทศของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด การนำเข้าและส่งออกขยายตัวและมีความหลากหลาย
การไหลเข้ามาของเงินทุนระหว่างประเทศจำนวนมหาศาล เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง
เศรษฐกิจหัวเมืองและชนบทเติบโตไปสู่พาณิชย์อุตสาหกรรม สัดส่วนของเกษตรกรรมลดลงทั้งในรายได้ประชาชาติและในสินค้าส่งออก
การปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศเปิดช่องทางการสื่อสารและการรับรู้ที่ไม่ถูกจำกัดโดยอำนาจรัฐ
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปการจิตสำนึกของประชาชนอย่างกว้างขวาง
ผลคือการก่อตัวของชนชั้นทางเศรษฐกิจกลุ่มใหม่
ยกระดับจากเกษตรกรและผู้ค้ารายย่อยในหัวเมืองชนบท ไปเป็นเกษตรกรเชิงพาณิชย์และผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็ก-กลางในภาคพาณิชย์อุตสาหกรรมกระจายอยู่ทั่วชนบทและหัวเมือง
บางคนเรียกประชากรเหล่านี้ว่า ‘ชนชั้นกลางใหม่’
แม้ว่าโดยปริบทแล้วพวกเขาก็ยังคงเป็น ‘คนชั้นล่าง’
เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มทุนจารีต กลุ่มทุนเก่า และชนชั้นกลางดั้งเดิมในเมืองที่เป็นวิชาชีพและมีการศึกษาสูงกว่า
เหตุการณ์นองเลือดพฤษภาคม 2535 ได้ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ระยะการเมืองระบบรัฐสภา ซึ่งแม้จะยังอยู่ภายใต้โครงครอบของอำนาจจารีตนิยม
แต่ก็เป็นการเมืองแบบเลือกตั้งที่มีเสถียรภาพและมีความต่อเนื่อง วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ทำให้พวกจารีตนิยมจำยอมให้มี ‘ปฏิรูปการเมือง’ รัฐธรรมนูญ 2540 และพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มีเสียงเด็ดขาดในสภา
กลุ่มทุนใหม่ที่มีพ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตรและพรรคไทยรักไทยเป็นตัวแทนจึงได้ฉวยใช้กลไกรัฐสภาเป็นเครื่องมือ
เข้าสู่อำนาจบริหารด้วยการเลือกตั้ง ดำเนินนโยบายปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจในขอบเขตจำกัดและกระจายทรัพยากรบางส่วนไปสู่ชนบท
เกิดเป็นพันธมิตรทางชนชั้นขึ้นระหว่างกลุ่มทุนใหม่กับ ‘ชนชั้นกลางใหม่’ ในหัวเมืองและชนบท
กลุ่มปกครองไทยมองเห็นว่า
พันธมิตรทางชนชั้นนี้อาจเป็น ‘ภัยอันตราย’ ต่ออำนาจของพวกเขาในระยะยาว พวกเขาจึงก่อรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 ขจัดพ.ต.ท.ทักษิณ ยุบพรรคไทยรักไทย แต่รัฐประหารก็ปลุกให้ ‘คนชั้นกลางใหม่’ เหล่านี้ตื่นขึ้น
แปรเปลี่ยนจากคะแนนเสียงพรรคการเมืองไปเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองขนาดใหญ่ที่เรียกร้องประชาธิปไตย
ซึ่งก็คือ ‘ขบวนคนเสื้อแดง’ ในปัจจุบัน
ขบวนคนเสื้อแดงได้เติบโตและมีความหลากหลายขึ้น
นอกจาก ‘คนชั้นกลางใหม่’ จากหัวเมืองชนบทแล้ว
ยังได้รวมเอาปัญญาชน กลุ่มวิชาชีพ
คนชั้นกลางในเมืองบางส่วนที่ต้องการประชาธิปไตยไว้ด้วย
โดยมีท่าทีต่อพ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยแตกต่างกัน
มีทั้งสนับสนุนอย่างไม่มีเงื่อนไข หรือร่วมมือในขอบเขตจำกัด
Red-shirts last stand at Aksa |
ขบวนคนเสื้อแดงพัฒนาถึงจุดสูงสุดในช่วงปี
2553-54 เมื่อถูกปราบปรามอย่างนองเลือด
แต่กลับสามารถฟื้นคืนมาได้อย่างรวดเร็วในขอบเขตใหญ่โตเข้มแข็งยิ่งกว่าเดิมจนสามารถผลักดันให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง
2554 ได้สำเร็จ
แต่แล้ว
แนวทางของพ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยที่มุ่งแสวงหานิรโทษกรรมเหมาเข่งโดยไม่คำนึงถึงผลเสียใดๆ
ทั้งสิ้น ก็ได้เปิดช่องให้พวกจารีตนิยมก่อรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ยิ่งกว่านั้น
การผลักดันนิรโทษกรรมเหมาเข่งยังได้ก่อให้เกิดความระส่ำระสาย สับสน และแตกแยกอย่างถึงรากภายในขบวนคนเสื้อแดง
กลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยอย่างเหนียวแน่น
มีท่าทีต่อนิรโทษกรรมเหมาเข่งในระดับต่างๆ กัน
มีทั้งกลุ่มที่ร่วมผลักดันอย่างเอาการเอางาน
กลุ่มที่สงสัยไม่แน่ใจแต่ก็ยังสนับสนุน ไปจนถึงกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย
แต่ก็ไม่คัดค้านและยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทยต่อไป
กลุ่มคนเสื้อแดงส่วนนี้มักจะเป็นกลุ่มมวลชนในหัวเมืองและชนบทที่เป็นฐานคะแนนเสียงอันเข้มแข็งของพ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยอยู่ก่อนแล้ว
แม้ว่าคนเสื้อแดงส่วนนี้จะยังคงต้องการประชาธิปไตย
คัดค้านเผด็จการ แต่ความล้มเหลวของนิรโทษกรรมเหมาเข่ง รัฐประหาร 2557 แนวทางที่พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทย ‘ให้ความร่วมมือ’ กับคณะรัฐประหารเป็นอย่างดี แล้วยังเรียกร้องให้คนเสื้อแดง ‘สนับสนุนคณะรัฐประหาร’ อีกด้วย
ได้สร้างความสับสนงุนงงและความคับข้องใจในหมู่มวลชนเหล่านี้ เกิดความท้อถอย
เฉื่อยชา เพ้อฝันต่อรัฐธรรมนูญใหม่
รอคอยแต่การเลือกตั้งและการกลับมาของตระกูลชินวัตร
ในต้นปี 2558 แนวทางฉวยโอกาสที่ตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ‘ให้ความร่วมมือ’ กับคณะรัฐประหารก็ล้มเหลวลงในที่สุด เมื่อกลุ่มปกครองจารีตนิยม
กลุ่มอำมาตย์ และกลุ่มทหาร สามารถสมานสามัคคีกันได้โดยพื้นฐาน แล้วหันมา ‘จัดการ’ กับตระกูลชินวัตรอย่างเป็นขั้นตอน
ด้วยคดีอาญาทางการเมืองหลายคดีต่อนางสาวยิ่งลักษณ์และบุคคลอื่นๆ ในตระกูลชินวัตร สถานะทางการเมืองและการต่อรองของตระกูลชินวัตรได้เสื่อมทรามลงอย่างมาก
ทำให้คนเสื้อแดงกลุ่มเพื่อไทยนี้ยิ่งคับแค้น ท้อแท้ พ่ายแพ้
และเกิดเป็นวิกฤตทางความคิดที่ไม่เห็นอนาคต
คนเสื้อแดงกลุ่มที่สนับสนุนตระกูลชินวัตรอย่างเหนียวแน่นจะยังคงเป็นฐานคะแนนเสียงในการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยต่อไป
แต่ถ้าตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยถูกลดทอนหรือแยกสลายจนไม่ใช่พลังที่สำคัญอีกต่อไป
คนเสื้อแดงกลุ่มนี้ก็จะต้องเลือกระหว่างสองเส้นทางคือ หนึ่ง สลายตัวไป
ดังเช่นขบวนการมวลชนจำนวนมากที่ล้มเหลวและพ่ายแพ้ในอดีต หรือสอง
ปรับขบวนและความคิด เดินหน้าสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไปโดยปราศจากตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย
กลุ่มคนเสื้อแดงอีกส่วนหนึ่งที่ชูธงคัดค้านนิรโทษกรรมเหมาเข่งมาแต่ต้น
มีขนาดมวลชนน้อยกว่า ส่วนใหญ่เป็นปัญญาชนคนชั้นกลางในเมืองและหัวเมือง
แนวทางที่โลเลฉวยโอกาสของพรรคเพื่อไทยและรัฐประหาร 2557 ได้ทำให้คนเสื้อแดงกลุ่มนี้ปฏิเสธพรรคเพื่อไทยและแยกทางกับคนเสื้อแดงกลุ่มแรกอย่างชัดเจน
กระทั่งจำนวนหนึ่งถึงกับยกเลิกสัญลักษณ์ ‘เสื้อแดง’ หันไปใช้สมญานามอื่นแทน เช่น ‘เสรีชน’ ‘เสรีนิยม’ เป็นต้น
แม้พวกเขาจะมีการรวมกลุ่มจัดตั้งกันในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังกระจัดกระจาย ไม่เข้มแข็ง
และยังขาดการนำทางการเมือง
ภาระหน้าที่ข้างหน้าของพวกเขาหากจะยังคงมุ่งไปบรรลุประชาธิปไตยก็คือ
การรวมตั้งจัดตั้งที่เป็นเครือข่ายทั้งกว้างและลึก พัฒนายกระดับการนำทางการเมือง
ประกอบขึ้นเป็นขบวนเสรีประชาธิปไตยใหม่ให้จงได้
ความหวังในการฟื้นขบวนประชาธิปไตยที่มีลักษณะมวลชนก็คือ
การรวมกันอีกครั้งหนึ่งของคนเสื้อแดงกลุ่มแรกส่วนหนึ่งที่สลัดพ้นจากอิทธิพลของตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย
ประสานเข้ากับกลุ่มคนเสื้อแดง (หรืออดีตเสื้อแดง) ที่เป็นเสรีประชาธิปไตย
ประกอบขึ้นเป็นขบวนเสรีประชาธิปไตยใหม่
ที่มิใช่สู้เพื่อนักการเมืองกลุ่มตระกูลใดหรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
แต่เพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมขึ้นในประเทศไทยในที่สุด
นักศึกษาแปรอักษร ฟุตบอลประเพณี ๒๕๕๘ |
ถ้าความพยายามนี้ไม่ประสบความสำเร็จ
อนาคตของประชาธิปไตยก็จะมืดมนและดับลงอีกครั้ง
แต่ในสถานการณ์อันมืดมิดนี้
ก็มีแสงหิ่งห้อยน้อยๆ ปรากฏขึ้น
ซึ่งอาจลุกโชนขึ้นเป็นคบเพลิงที่ส่องทางให้กับมวลชนประชาธิปไตยฟื้นตัวขึ้นและเดินไปข้างหน้าได้อีกครั้ง
ซึ่งก็คือ การปรากฏขึ้นของขบวนนิสิตนักศึกษาปัญญาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
ต่อต้านเผด็จการ