ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
เผยคลิปเสียง อาจารย์ศึกษาศาสตร์ มช. บีบนักศึกษาร่วมงานรับน้อง บอกเป็นส่วนหนึ่งกิจกรรม ถ้าไม่ทำก็เรียนไม่จบ ถือเป็นคนไม่มีรุ่น บอก ถ้าไม่รู้ว่าสังคม มช. เป็นอย่างไรก็คงต้องไปเรียนรามฯ เท่านั้น พร้อมสำทับ ถ้าไม่ร่วมกิจกรรมก็ลาออกไปเลือกมหาวิทยาลัยใหม่ ถ้าเอา มช. ก็ต้องเป็นแบบนี้ สุดท้าย นศ. ยอมร่วม พร้อมต้องขอขมาอาจารย์
เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. วันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา ผู้ใช้บริการยูทิวบ์ในชื่อบัญชี “Anti SOTUS” ได้โพสต์คลิปในชื่อว่า “ถ้าจะเรียนก็เข้ารับน้อง จาก ศึกษาศาสตร์ มช.” ซึ่งเป็นบันทึกเสียงการประชุมระหว่างอาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กับผู้ปกครองและนักศึกษา 2 คน ที่ไม่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องของคณะ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ที่ผ่านมา
ในคลิปดังกล่าว อาจารย์สุภาพสตรีซึ่งถูกเรียกว่า “อาจารย์นา” ได้ถามนักศึกษาว่า มีเหตุผลอะไรที่ไม่ร่วมกิจกรรมรับน้อง นักศึกษาได้ตอบว่า สาเหตุที่ไม่ต้องการเข้าร่วม เพราะมีกิจกรรมบางอย่างที่ค่อนข้างจะดูเป็นการละเมิดสิทธิ อาจารย์จึงถามอีกว่า เช่น อะไรบ้าง นักศึกษาตอบว่า ไม่ได้เป็นการละเมิดทางร่างกายแต่เป็นการละเมิดทางจิตใจมากกว่า อาจารย์จึงคาดคั้นต่อว่า เช่นอะไรบ้าง นักษาตอบว่า อธิบายยาก อาจารย์จึงพูดอย่างมีอารมณ์ว่า งั้นครูจะรู้ได้อย่างไร ถ้าตอบแค่ว่าอธิบายยาก ถ้าอย่างนั้นครูสรุปเลย สรุปว่าไม่มีเหตุผลก็แล้วกัน
อาจารย์คนดังกล่าวถามนักศึกษาอีกว่า หนูคิดอย่างไรกับอนาคตของหนู นักศึกษาตอบว่า ก็อยากเรียนต่อ อาจารย์จึงถามว่า ถ้าอยากเรียนต่อแล้วหนูจะเข้ากับใครได้ หนูไม่คิดถึงปัญหาเวลาเรียนจะต้องมีกิจกรรมกลุ่ม นักศึกษาจึงย้อนถามว่า กิจกรรมที่อาจารย์หมายถึงคืออะไร อาจารย์จึงยกตัวอย่างว่า เช่น อาจารย์ให้แบ่งกลุ่มกันไปค้นคว้าแล้วมาพรีเซนต์กัน ถ้าเขาไม่เอาหนูเข้ากลุ่มจะทำอย่างไร นักศึกษาจึงตอบว่า ในส่วนนี้เรื่องมนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนกับพี่ ขอเรียนตรงๆ ว่าไม่มีปัญหา ปกติทุกอย่าง
อาจารย์จึงถามต่อว่า แต่คะแนนกิจกรรมจะมีปัญหา จะทำให้ไม่จบเอา หนูจะทำอย่างไรกับคะแนนในส่วนนี้ คะแนนส่วนนั้นไม่มีปัญหา แต่คะแนนในส่วนกิจกรรมซึ่งมันถูกบังคับว่าถ้ามันไม่มี มันก็ไม่จบหลักสูตร
นักศึกษาจึงถามว่า กิจกรรมที่อาจารย์หมายถึงคือกิจกรรมของคณะหรือสาขา หรืออาจารย์จะแยกจากรับน้องไปเลย หรือว่าพูดถึงเฉพาะกิจกรรมหรืออย่างไร อาจารย์จึงตอบอย่างมีอารมณ์ว่า ก็เพราะไม่ได้เข้ามาร่วมกิจกรรมตั้งแต่แรก จึงไม่เข้าใจ และได้เอาสมุดกิจกรรมให้นักศึกษาดูว่ามีอะไรบ้าง พร้อมบอกว่ากิจกรรมกับการรับน้องรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะแยกไม่ได้ มันมาเป็นซีรีส์ เด็กคนนี้ไม่ได้เข้าตั้งแต่แรกจึงไม่เข้าใจ
หลังจากนั้น อาจารย์คนเดิมได้พูดย้ำว่า เด็กคนนี้ไม่มีรุ่น เพราะไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ เด็กคนนี้มีเพื่อน แต่ไม่มีรุ่น แล้วพี่ๆ ก็ไม่รับว่าเป็นน้อง อันนี้สำคัญ เวลาไปทำงาน จบเลย จบจริงๆ คือเด็กไม่เข้าใจ ฟังคำพูดเด็กก็จะยอกย้อนถาม ซึ่งถ้าเขาเข้าแต่แรกจะรู้เลยว่าครูพูดอะไร แต่ถ้าเขาไม่รู้ว่าสังคม มช. เป็นอย่างไร เท่าที่ฟังมา ต้องไปเรียนรามเท่านั้น ไม่ต้องไปสนใจใคร ไม่ต้องเอาสังคมเลยก็ได้ ไปเรียนเอง เรียนที่บ้านก็ได้ แล้วไปสอบเอาปริญญา คือมันไม่มีคะแนนตัวนี้ คือน้องเหมาะสำหรับการศึกษาแบบเปิด ไม่าเหมาะกับแบบปิด
อาจารย์คนดังกล่าวพูดอีกว่า หลังจากดูสมุดกิจกรรมแล้ว จะตัดสินใจอย่างไรให้บอกครู จะได้พูดให้ที่ประชุมฟัง คุณพ่อคุณแม่ไม่ว่าอยู่แล้ว ตามใจลูกอยู่แล้ว ครูพยายามมองแง่บวกนะ ลูกรู้สึกอย่างนี้หรือเปล่า ลูกเดินทางผิดไปแล้วนะ ลูกจะกลับมาแต่ลูกรู้สึกไม่ดี ลูกรู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นครูช่วยได้ แต่ถ้าลูกคิดว่า วันนี้ ไม่ได้ เสียหน้า มันจะไปกันใหญ่ แล้วมันยากที่จะประสานรอยร้าว
อาจารย์ซึ่งถูกเรียกว่า “อาจารย์นา” ได้พูดกับอาจารย์อีกคนที่ร่วมประชุมด้วยกันว่า อย่าท้อถอยกับศิษย์เพียงไม่กี่คน อย่าคิดหยุด กิจกรรมจะเลิกไม่ได้ จะให้ลูกเราเรียนหัวโตอย่างเดียวไม่ได้ แขนขามันจะลีบมันจะเดินในสังคมไม่ได้ ต้องถาม 2 คนนี้ ถ้าเขาจะซิ่ว คือลาออก ก็จบ แต่ถ้าเขาไม่ซิ่ว ไม่ย้าย เขายังอยู่ เพื่อนเขา แน่นอนเพื่อนย่อมรักเพื่อน แต่ความรักของเขาก็ได้แค่เพื่อน เขาก็ต้องมาแก้ปัญหากับสังคมเอา ว่าเขาจะทำอย่างไรกับสังคม เพราะมันไม่ได้อยู่แค่เพื่อน คือเขามองโลกแคบมาก เขาคิดแค่ว่าเขาไม่มีปัญหามนุษยสัมพันธ์ เขามองแค่นั้น แต่เวลาเกิดอะไรขึ้นมา สมุดเล่มนี้ใครจะเซ็นให้เขา แล้วเขาจะจบจากรั้วนี้ไปได้อย่างไร ถ้าเขาไม่ผ่านตัวนี้
“ต้องถาม 2 คนนี้ จะเอาอย่างไร ถ้าคิดจะซิ่วก็ลาออก ไม่ต้องมาจ่ายค่าเทอมแล้ว เสียดายตังค์เทอมสอง ถ้าคิดจะซิ่วนะ ก็กลับไปฟิตใหม่ แล้วก็เลือกมหาวิทยาลัยใหม่ เพราะว่าถ้าเอา มช. ก็หนีไม่พ้นอย่างนี้ ก็ต้องพูดกันตรงๆ คือโตกันแล้ว”อาจารย์พูดย้ำ
หลังจากนั้น อาจารย์ที่เป็นผู้ชายได้พูดขึ้นว่า ให้สองคนนี้ถามตัวเองว่าจะเอาอย่างไร จะเรียนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำกิจกรรมด้วย เอาตรงๆ เลย ถ้าตัดสินใจว่าจะเรียนครู จะเป็นลูกศิษย์ของสาขานี้ จะเป็นน้องของพี่ทั้งหมดที่มาให้กำลังใจ มันก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจริงๆ มันต้องเปิดใจ ถ้าจะเป็นอย่างนี้อยู่ คือ บางเรื่องมันอาจบิดเบือน ผิดเพี้ยนไป แต่ทุกอย่างมันมีแง่งามอยู่ อาจารย์สุรางคณา เคยบอกว่าไม่ต้องถามนักศึกษา ว่ากิจกรรมมันช่วยอะไร คือมันตอบได้ทุกอย่างแล้ว คือ อดทน ฝึกความเป็นคนทุกอย่าง เอาตรงๆ เลยนะ ครูจะบอกว่า ครูรู้สึกว่า พฤติกรรมเราสองคน มันไม่เหมาะที่เราทั้งสามคนจะสร้างพวกเราไปเป็นครู คือครูมันไม่น่าจะเริ่มมาจากตรงนี้ ครูที่ปรึกษาโทร.กระหน่ำบ้าบอคอแตก แต่เราก็ไม่ปรึกษา แล้วครูว่า พฤติกรรมลักษณะนี้คือปิดตัว ไม่เปิดใจ แข็งกร้าว (มีเสียงจากอาจารย์ผู้หญิงแทรกขึ้นว่า เด็กมันแข็งกร้าว) ถ้าจะมาเป็นลูกครูต้องเกลา แล้วจะงามขึ้น จะเข้าใจโลกมากขึ้น แต่ตอนนี้อยากให้ตัดสินใจ ว่าจะเอาอย่างไร
อาจารย์ผู้หญิงพูดเสริมว่า ปี 3 เขาก็รู้สึกเสียเซลฟ์ เธอไม่เคยเป็นพี่ เธอไม่รู้ความรู้สึกหรอกว่า พี่เขารู้สึกแย่ เพราะว่ากว่าที่เขาจะคิดกิจกรรมมาได้ เขาเหนื่อยแค่ไหน เตรียมการทุกอย่าง เขารู้สึกว่าเขาเฟลว่าเขารับน้องแบบหมดทุกคนไม่ได้ แล้วตัวน้องรู้พี่รู้กฎอะไรเขาไหมเนี่ย มันไม่รู้อะไรซักอย่างนะ แล้วจะไปโทษพี่มันมันไม่ได้ แล้วตอนนี้ต้องถาม 2 คนนี้ จะเอาอย่างไร จะให้ทุกคนมาเสียเวลา มันคุ้มไหม แล้วมันใช่ไหม ครูไม่ชอบอะไรคาราคาซัง ครูไม่ใช่ประธานสาขา แต่ครูก็เป็นพี่ใหญ่ของ (อาจารย์) สองคนนี้ ซึ่งต้องทำตาม ตัดสินใจอย่างไรว่ามาเลย ความรู้สึกพี่ก็รู้แล้ว ความรู้สึกพ่อแม่ก็รู้แล้ว ความรู้สึกอาจารย์ก็รู้แล้ว จะเอายังไงอีก
หลังจากนั้น อาจารย์ได้ถามนักศึกษาทั้่งสองคนว่าจะเอาย่างไร พูดตรงๆ เลย นักศึกษาคนหนึ่งได้ตอบว่า จะอยู่ต่อ อาจารย์ผู้ชายจึงบอกว่า ถ้าจะอยู่ต่อ สิ่งแรกคือ ต้องไหว้อาจารย์ทั้่งสาม ทำได้ไหม ได้นะ แล้วต้องร่วมกิจกรรมกับรุ่นพี่ คือถ้าไม่ทำก็อยู่ไม่ได้ พูดตรงๆ คือถ้าอยู่ก็ต้องทำได้ อาจารย์ผู้หญิงพูดเสริมอีกว่า ต้องเคารพพี่ ต้องร่วมกิจกรรมกับพี่ ทำได้หรือเปล่า
อาจารย์ผู้ชายพูดต่อว่า ก็ดี จะได้รู้ว่า จะทำยังไงกันต่อ ถ้าอยากอยู่ หนึ่ง ก็ไปไหว้ครู ขอโทษคุณครู อาจารย์ อะไรต่างๆ สองคือ กิจกรรมที่มันจะต้องทำ ถ้าอยู่มันต้องทำ ถ้าอยู่แล้วไม่ทำ ก็ไม่ควรอยู่ มันก็ครบกระบวนการ เราก็จะไปเป็นครู เป็นอะไร มันก็ยาก สมมติว่า อยู่ที่ไหนตรงไหนเขามีงานอะไรที่เป็นกระบวนการ ที่เป็นกิจกรรม ไม่ว่าอยู่มหาวิทยาลัยไหนมันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น นอกจากจะไม่ไปเรียนต่อ ก็บอกให้อาจารย์รับทราบ ก็จะได้รู้ว่า เราบอกว่าเราจะอยู่ต่อ แล้วจะทำสิ่งที่มันยังขาดตกบกพร่องอยู่ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน
อาจารย์ผู้หญิงพูดเสริมอีกว่า ครูไม่มีเวลาแล้ว เพราะคณบดีกับรองอธิการบดีรออยู่ และครูคงปล่อยให้อาจารย์สองคนอยู่กับเราตามลำพังไม่ได้ เอาอย่างนี้นะ ถ้าตัดสินใจจะอยู่ 1. คุยกับตัวแทนปี 3 แล้วนัดมาไหว้ครู 3 คน เอาเฉพาะตัวแทนปี 3 ไม่ต้องมาทั้งหมดก็ได้ เอามาคุยกัน แค่นั้น จะมารอยืดไม่ซ้อมละ ไม่ได้ เพราะพิจารณาอะไรไม่ได้เลย เสียงอยู่ที่ครู ครูไม่อยู่ไม่ต้องลงมติอะไรในที่ประชุม และมันเป็นการประชุมกรรมการอำนวยการ ใหญ่ที่สุดในคณะละ มันไม่ได้ละ ครูไม่รอละ มันไร้สาระ เพราะให้โอกาสก็ไม่พูด ไม่อะไรเลยซักอย่าง
“ก็จะรอนะ จะรอวันที่เรามาพบอาจารย์... เพื่อที่จะมาไหว้และขอขมา ครบ 3 คน มีขอขมาด้วยนะ ไม่ใช่ไหว้อย่างเดียวนะ แล้วก็ไปคุยกับตัวแทนปี 3 เอาอย่างนี้นะ เสียเวลามากละ แล้วก็ให้เวลาถึงเมื่อไหร่ เพราะว่ามันไม่มีเวลาแล้วนะ เดี๋ยวคณะต้องถามว่าเอายังไง ครูก็จะตอบอย่างนี้หละ คือทางออกที่ดีที่สุด ขอพรุ่งนี้ เอาก่อนเที่ยงได้ไหม” อาจารย์สุภาพสตรีกล่าวในตอนท้ายของคลิปเสียง