วันเสาร์, กันยายน 27, 2557

“โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่ เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกขัง”


ถูกปรับ เพราะติดป้าย “ไม่ลืมนวมทอง นายประชาธิปไตยไทย ของไทย”

ที่มา เวปศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (ศนปท.)

ตามที่ประชาไท รายงาน อ่าน เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๗ เวลาประมาณ ๒๑.๑๐ น. เกี่ยวกับการที่สมาชิก ศนปท. ทั้ง ๓ เข้ามอบตัว และรับทราบข้อกล่าวหา พร้อมทนายความ กับทางพนักงานสอบสวน สน. สุทธิสาร นั้น ปรากฎรายระเอีดยดังนี้

……ในคืนวันที่ ๑๘ กันยายน ๕๗ ได้เกิดวงพูดคุยของ ศนปท. เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ และติดตามกรณีของ การควบคุมตัว อาจารย์ และเพื่อน นักศึกษา ไปที่ สภ.อ. คลองหลวง จ.ปทุมธานี จากเหตุการณ์งานเสวนาที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต แต่ในขณะที่เรากำลังหารือกันอยู่นั้น ปรากฎว่าทางผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมด ถูกปล่อยตัวและเดินทางกลับที่พักอย่างปลอดภัยแล้ว จึงทำให้เราได้ใช้เวลาส่วนนี้ ทบทวนถึงเหตุการณ์ในอดีต ที่ทำให้เราทุกคนต้องมานั่งทำอะไรแบบนี้ เมื่อเราทุกคนย้อนความทรงจำกลับไป จึงทำให้ต้องกล่าวถึงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๗ นั้นจะเป็นวันครบรอบ รัฐประหาร ๔๙ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ตามมามากมายในขณะนี้ ภาพแรกที่ปรากฎขึ้นในความคิดของผู้เขียน คือภาพของชายชราผู้หนึ่ง นามว่า ไพรวัลย์ นวมทอง หรือ ที่ทุกคนเรียกเขาว่า ลุงนวมทอง

ผู้เขียนจึงคิดว่า หากเรามีกิจกรรมที่ไม่กระทบ และไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนนั้น ควรที่เราจำต้องมีกิจกรรมนั้นเพื่อหวนระลึกถึง ความกล้าหาญของ ลุงนวมทอง และให้สังคมได้ตระหนักถึงผลเสียของการทำรัฐประหารในครั้งนั้น


ในวงพูดคุย จึงมีผู้เสนอให้นำแผ่นป้ายผ้า ไปขึงบนสะพานลอย ที่ลุงนวมทองได้ทำอัตวิบากกรรม (ผูกคอตาย) เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๔๙ ณ บริเวณสะพานลอย ถ.วิภาวดี รังสิต ฝั่งสำนักพิมพ์ไทยรัฐ


…….. เมื่อเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบ จึงเป็นที่มาของป้ายผ้า บนสะพานลอยดังกล่าว ในช่วงสายของวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๗ มีใจความว่า ” นายประชาธิปไตย ของไทย ชาตะ ๒๔ มิ.ย. ๒๔๗๕ มรณะ ๑๙ ก.ย. ๒๕๔๙ และ ล่าสุด”


…….หลังจากที่ ศนปท. ติดป้ายผ้าดังกล่าวเสร็จสิ้น ทางผู้ดูแลด้านข้อมูลข่าวสาร ของ ศนปท. แฟนเพจ ศนปท. และ เว็ปไซต์ของ ศนปท. ที่พึ่งเปิดตัวมาได้ไม่กี่วัน ได้โพสข้อความในทำนอง ออกมายอมรับว่าได้เป็นผู้กระทำการดังกล่าว ลิ้งค์ข่าว

……วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๗ หนึ่งในสมาชิก ศนปท. ที่กำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ได้รับทราบข่าวจากทาง อ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ว่า ได้มีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ติดต่อมาขอให้แจ้งกับทางนักศึกษาว่า ขณะนี้ ตำรวจรู้ตัวผู้กระทำการดังกล่าวแล้ว จึงขอให้มีการประสานกับกลุ่ม ศนปท. เข้ามารับทราบข้อกล่าวหา และจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

…..หลังจากที่ทราบข้อมูลดัวกล่าว ทาง ศนปท. จึงได้มีการเรียกประชุมสมาชิกผู้ที่ได้มีส่วนรู้เห็น ต่อการติดป้ายผ้าดังกล่าวเพื่อหารือเพื่อกำหนดแนวทางต่อไป และที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันว่า เราทุกคนยินดีที่จะร่วมรับผิดชอบต่อความผิดดังกล่าว ไม่ว่าทางเจ้าหน้าที่จะแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ และเพื่อให้การพูดคุย เจรจาเป็นไปอย่างราบรื่น เราจึงขอไม่ให้เป็นข่าวครึกโครม และให้มีกำหนดเข้ามอบตัว รับทราบข้อกล่าวหาตามแต่เจ้าหน้าที่นัดหมาย

…….จนกระทั่งวันที่ ๒๒ กันยนยน ๒๕๕๗ ทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งมาทางผู้ประสานงานของ ศนปท. ว่าให้ผู้ต้องหาทั้ง ๓ คน เข้าพบเจ้าพนักงานสอบสวนที่ สน.สุทธิสาร ในวันที่ ๒๕ ก.ย. ๕๗ เวลา ๑๕.๐๐ น.

……จากนั้นเมื่อถึงกำหนดนัดหมาย สมาชิก ศนทป. จำนวน ๕ คน (ผู้ต้องหา ๓ คน) พร้อมทนายความ จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามที่มีการนัดหมาย
ขอบคุณภาพจาก สำนักข่าวประชาไท
……. และเมื่อถึง สน.สุทธิสาร ร้อยเวรได้พาเราเข้าพบกับ รองผู้กำกับ สน.สุทธิสาร ณ ห้องรับรองภายใน สถานี โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยดี ทางเจ้าหน้าที่อนุญาตให้ สมาชิก ศนปท. เข้าไปภายในห้องรับรองเพียง ๔ คน และ ทนายความ หนึ่งคน ได้แก่ นายทรงธรรม แก้วพันพฤกษ์ (ผู้ต้องหาที่ ๑) นายเสกสรร สายสืบ (ผู้ต้องหาที่ ๒) , นาย สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ (ผู้ต้องหาที่ ๓) และ นายปิยรัฐ จงเทพ (พยาน)

…….ใช้เวลาอยู่ในห้องรับรอง กว่า ๓๐ นาที พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว ผู้กำกับการ สน.สุทธิสาร ได้มาให้การต้อนรับ และนั่งพูดคุยกับ ศนปท. ด้วยความเป็นมิตร ก่อนจะว่ากล่าวแนะนำให้ทราบถึงสถานการณ์ที่ไม่ปกติ อันอาจจะนำไปสู่การสร้างสถานการณ์จากผู้ไม่หวังดี และได้ขอให้ ศนปท. ลดละการกระทำอันใดก็แล้วแต่ที่สร้างความลำบากใจให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกๆฝ่าย ซึ่งทาง ศนปท. ก็ได้ให้เหตุผลไปว่า ทาง ศนปท. ตระหนักดีว่า เจ้าหน้าที่ทำงานลำบาก และ เหนื่อยกับการต้องมาตามจับในคดีที่มีความผิดเล็กๆน้อยๆเช่นนี้เสมือนว่าเป็นคดีอาญาต้องโทษร้ายแรง แต่นี้ก็เป็นเพียงหลุโทษ มิเห็นต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับการตามจับกุมถึงเพียงนี้

…..ต่อจากนั้งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีการ แจ้งข้อกล่าวหา ต่อหน้าทนายความ และ ผู้กำกับฯ โดยใช้เวลาทำประวัติ และสอบสวนอยู่ราว ๑ ชั่วโมง ก่อนจะให้ทั้ง สามคนได้รับทราบข้อกล่าวหา พร้อมทั้งในเวลานั้น พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รองผู้บังคับการ ตำรวจนครบาล ๒ ได้เดินทางมาร่วมรับฟังการสอบสวนดังกล่าวด้วยตนเอง

….เราอยู่ที่ สน. จนกระทั้งแล้วเสร็จกระบวนการ ใช้เวลาร่วม ๓ ชม. ซึ่งเราเองก็รู้สึกว่าเป็นการทำงานที่ล่าช้า และดูเป็นการถ่วงเวลามากกว่า ซึ่งหลังจากนั้นผู้กำกับฯได้เข้ามาหารือกับเราว่าจะให้รถตู้ตำรวจของ สน. สุทธิสารไปส่งพวกเราทุกคน เมื่อทราบคำร้องขอของผู้กำกับทางเราทุกคนที่นั่งกันอยู่ภายในห้องสอบสวนจึงหารือกัน แล้วมีข้อความเห็นว่าหากเรายอมให้รถตู้ตำรวจไปส่ง เราก็ไม่ทราบว่าเขาจะนำเราไปถึงจุดหมายปลายทางจริงหรือไม่เราจึงตัดสินใจว่าขอกลับเองจะเป็นการสบายใจกว่า

…….เมื่อ ผู้กำกับทราบความของเราท่านก็ไม่ได้ขัดแต่ประการใด และยังชวนให้เราทานข้าวกระเพราไก่ ไข่ดาว ที่ท่านรับรองว่าอร่อยกว่าที่ไหนๆ เราทุกคนมองหน้ากันและบอกกับท่านว่าเรามีนัดหมายจะต้องไปทานกับเพื่อนที่รออยู่ด้านนอกแล้ว เมื่อพูดจบ ท่านรองผู้การฯ จึงได้สั่งให้ลูกน้องไปซื้อขนมปัง และนมมาให้พวกเรารับประทานเพื่อดับความหิว ในขณะนั้นเอง หนึ่งในสมาชิก ศนปท. ได้ร้องขอเปลี่ยนจากขนมปังธรรมดาเป็นแซนด์วิชแทน ซึ่งก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคน และขจัดความเครียดไปได้อีกระดับหนึ่ง

……เวลาผ่านไปร่วม หนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ทำการเปรียบเทียบปรับ ตามข้อหาความผิด พ.ร.บ. ความสะอาดฯ มาตรา ๑๐ ด้วยโทษปรับ คนละ ๑,๐๐๐ บาท รวม ๓,๐๐๐ บาทไปนั้น เราทุกคนก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้กลับ จนกระทั่งเรามาทราบว่า เพื่อให้ผู้สื่อข่าวที่ได้มารอติดตามทำข่าวอยู่ด้านหน้า สถานีตำรวจเดินทางกลับก่อน เมื่อเป็นเช่นนั้น สมาชิก ศนทป. ที่รออยู่ภายนอกห้องสอบสวนจึงต้องไปแจ้งกับพี่นักข่าวทุกท่านว่า ” เจ้าหน้าที่ตำรวจจะขอตัว เพื่อนๆของเราไว้ภายในห้องสอบสวนก่อนจนกว่าทางพี่ๆนักข่าวจะกลับ” เมื่อทราบดังนั้น ผู้สื่อข่าวทุกคนจึงต้องถอยออกจากพื้นที่

…..จนกระทั่งเวลา ๑๙.๓๐ น. ทางรองผู้กำกับฯ ได้เดินมาเปิดประตูให้เรา และบอกกับเราว่า กลับบ้านได้แล้ว เมื่อสิ้นเสียงรองผู้กำกับ เราที่นั่งรออยู่ภายในห้องสอบสวนต่างก็ไม่รอช้าที่จะเดินออกจากห้องสอบสวนพร้อมๆกัน


นี้จึงเป็นบทพิสูจน์ของ ศนปท. อีกครั้งว่า เมื่อเรากล้าที่จะประกาศก้องว่าเราจะยังยึดมั่นในอุดมการณ์ ที่เราเฝ้าแสวงหา ดังนั้นหนทางที่ดีกว่านี้ย่อมต้องฟันฝ่าไปให้ได้ แม้มันจำต้องดิ้นรน แหวกว่าย และทรมานเพียงใด มันคือจำเป็นต้องเลือกที่จะเดินต่อไป หากแม้เราหยุด ใครเล่าจะต้องขาดกำลังใจ ใครเล่าจะมีความหวัง แม้จะเป็นเพียงแสงไฟเล็กๆ และแสงนี้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่ มากพอที่จะจุดประกายความฝันของใครต่อใครให้ลุกตื่นจากการหลับไหลได้ แต่นี้คือจุดเริ่มต้น และเราจำต้องรักษามันไว้ให้อยู่นานเท่านาน เพราะเราเชื่อว่า 

“โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่ เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกขัง”