รัฐบาลไทยของเรากำลังดำริจะเก็บภาษีมรดก
สร้างความฮือฮาให้กับสังคมอยู่ในขณะนี้ แต่จะทำสำเร็จหรือไม่ก็ต้องคอยดูกันต่อไป  บางคนก็ปรามาสว่าไม่สำเร็จ
เพราะขนาดควบคุมราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลยังทำไม่สำเร็จ  แต่เรื่องนี้เราต้องคอยให้กำลังใจรัฐบาล
            ท่านคงเคยได้ยินว่ากรณีปราสาทหรืออาคารหลังใหญ่ๆ
ของอภิมหาเศรษฐีในอดีตนั้น ถึงขนาดที่จะต้องยกให้หลวงเพราะทายาทดูแลไม่ไหว
และไม่มีเงินจ่ายภาษีมรดกกันเลยทีเดียว  กรณีเหล่านี้จะเกิดขึ้นในเมืองไทยหรือไม่
ต้องมาคอยดูกันต่อไป  แต่ในทางตรงกันข้าม หลังจากเหตุการณ์สึนามิในไทย
ที่ทำให้ชาวสวีเดนเสียชีวิตไปหลายร้อยคนยังความโศกสลดแก่ชาวสวีเดนมาก  ผู้รับมรดกก็ยังต้องเสียภาษีมรดกอีก  ทางรัฐบาลสวีเดนจึงยกเลิกการจัดเก็บภาษีมรดกไป
            แนวคิดในการจัดเก็บภาษีมรดกนั้น
มีขึ้นเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในหมู่ประชาชน ลดช่องว่างที่ควรจะเป็น
บางคนอาจทำเงินได้ร่ำรวยมหาศาล แต่ใช่จะส่งต่อให้ลูกหลานจนสร้างอภิสิทธิ์ชน
หรือชนชั้นคหบดีใหญ่เช่นในประเทศกำลังพัฒนาได้  นี่นับเป็นแนวคิดที่ดี  เพราะถ้าสังคมไร้ซึ่งความเป็นธรรม มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันมาก ๆ
ก็จะทำให้เกิดความไม่สงบ  บรรดาทรัพย์สมบัติที่คนรวยมี ก็อาจสูญค่าไปได้
เช่น กรณีพนมเปญ ไซ่ง่อนแตก  บรรดาอภิมหาเศรษฐีก็ไม่อาจหอบเอาอสังหาริมทรัพยฺ์ติดตัวไปได้แต่อย่างใด
            เรามาดูกันว่าเขาเสียภาษีมรดกกันอย่างไรบ้าง
            ในอังกฤษ
จะเสียภาษีมรดกก็ต่อเมื่อมรดกนั้นมีราคาเกินกว่า 325,000 ปอนด์หรือ 17.033 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามรายได้ประชาชาติต่อหัวของอังกฤษสูงกว่าไทยประมาณ3.767 เท่า ดังนั้นถ้าเทียบเป็นเงินไทยตามฐานะคนไทย ก็ควรเอา 3.767 เท่าหาร ก็ถือว่าถ้าใครได้รับมรดกที่มีราคาเป็นเงินราว 4.521 ล้านบาทขึ้นไปก็ต้องเสียภาษีมรดกนั่นเอง อย่างไรก็ตามตัวเลขเหล่านี้ปรับเพิ่มขึ้นเป็นระยะเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ไม่ได้ตายตัวแบบการกำหนดไว้ในกฎหมายแบบไทยๆ
            วิธีการคำนวณก็เช่น นายโรเบิร์ตมีทรัพย์เป็นบ้าน รถยนต์
หุ้น พันธบัตร เงินฝาก ฯลฯ รวมเป็นเงิน 20 ล้านบาท แต่นายโรเบิร์ตมีหนี้ค่าโทรศัพท์ ประปา
ไฟฟ้า ค่าทำศพและอื่น ๆ รวมเป็นเงิน 1 ล้านบาท ก็จะเหลือทรัพย์อยู่ 19 ล้านบาท
ดังนั้นทรัพย์สินที่เกินกว่า 17.033 ล้านบาท หรือ 1.967 ล้านบาทก็ต้องเสียภาษี โดยเสีย ณ อัตรา 40% เป็นเงิน786,000 บาทนั่นเอง ทั้งนี้ปกติต้องเสียให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 6 เดือนนับแต่ผู้ให้มรดกเสียชีวิต
            ในสหรัฐอเมริกา
ราคาขั้นต่ำของทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีมรดกเป็นเงิน 5.34 ล้านดอลลาร์
หรือ 172.319 ล้านบาทในปี 2557 ซึ่งเพิ่มขึ้นตามลำดับ
เช่นเมื่อปี 2556 อยู่ที่ 5.25ล้านดอลลาร์ หรือ ปี 2547 อยู่ที่เพียง 1.5 ล้านดอลลาร์เท่านั้น  ส่วนการเสียภาษีก็คล้ายๆ กับในสหราชอาณาจักร โดยมีอัตราภาษีดังนี้:
มรดกเป็นเงิน 
 | 
  
แต่ไม่เกิน 
 | 
  
ภาษีที่เสีย 
 | 
  
ส่วนที่เกินเสียภาษี
  ณ อัตรา 
 | 
 
0 
 | 
  
$10,000 
 | 
  
$0 
 | 
  
18% 
 | 
 
$10,000 
 | 
  
$20,000 
 | 
  
$1,800 
 | 
  
20% 
 | 
 
$20,000 
 | 
  
$40,000 
 | 
  
$3,800 
 | 
  
22% 
 | 
 
$40,000 
 | 
  
$60,000 
 | 
  
$8,200 
 | 
  
24% 
 | 
 
$60,000 
 | 
  
$80,000 
 | 
  
$13,000 
 | 
  
26% 
 | 
 
$80,000 
 | 
  
$100,000 
 | 
  
$18,200 
 | 
  
28% 
 | 
 
$100,000 
 | 
  
$150,000 
 | 
  
$23,800 
 | 
  
30% 
 | 
 
$150,000 
 | 
  
$250,000 
 | 
  
$38,800 
 | 
  
32% 
 | 
 
$250,000 
 | 
  
$500,000 
 | 
  
$70,800 
 | 
  
34% 
 | 
 
$500,000 
 | 
  
$750,000 
 | 
  
$155,800 
 | 
  
37% 
 | 
 
$750,000 
 | 
  
$1,000,000 
 | 
  
$248,300 
 | 
  
39% 
 | 
 
$1,000,000 
 | 
  
ขึ้นไป 
 | 
  
$345,800 
 | 
  
40% 
 | 
 
            อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือประเทศเยอรมนี
ซึ่งมีระบบการจัดเก็บภาษีมรดกหรือของกำนัลที่ดี ดังนี้:
ทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่  
 | 
  
กลุ่มที่
  1 
ภริยา-ลูก 
 | 
  
กลุ่มที่
  2 
พี่น้องและญาติ 
 | 
  
กลุ่มที่
  3 
บุคคลอื่น 
 | 
 
75,000 ยูโร 
 | 
  
7% 
 | 
  
15% 
 | 
  
30% 
 | 
 
300,000 ยูโร 
 | 
  
11% 
 | 
  
20% 
 | 
  
30% 
 | 
 
600,000 ยูโร 
 | 
  
15% 
 | 
  
25% 
 | 
  
30% 
 | 
 
6,000,000 ยูโร 
 | 
  
19% 
 | 
  
30% 
 | 
  
30% 
 | 
 
13,000,000 ยูโร 
 | 
  
23% 
 | 
  
35% 
 | 
  
50% 
 | 
 
26,000,000 ยูโร 
 | 
  
27% 
 | 
  
40% 
 | 
  
50% 
 | 
 
มากกว่า
  26,000,000 ยูโร 
 | 
  
30% 
 | 
  
43% 
 | 
  
50% 
 | 
 
            การเก็บภาษีของไต้หวันก็เช่นเดียวกับประเทศตะวันตก
ค่อนข้างหฤโหด เช่น มีกรณีอภิมหาเศรษฐีรายหนึ่ง เสียชีวิตลง
ทายาทได้เข้าปรึกษาทนายความเพื่อเตรียมเจรจาเรื่องการจ่ายภาษีมรดกให้รัฐบาล
เป็นเงินกว่า 14,700
ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 15,180 ล้านบาท)
ซึ่งเป็นการจ่ายภาษีมรดกที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์การเก็บภาษีบนเกาะไต้หวัน
เนื่องจากนายหวางเป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฟอร์โมซา พลาสติก
กลุ่มทุนขนาดใหญ่อันดับ 2 ของไต้หวัน
            กรณีของนายบิล เกตต์ นายวอร์เรน บัฟเฟตต์
หรืออภิมหาเศรษฐีใหญ่ๆ นั้น เขาบริจาคเงินมหาศาลให้กับสาธารณะ เพราะเอาไปไม่ได้
และยังไง ๆ ก็ต้องถูกหักภาษีมรดกไปถึงประมาณ 40% อยู่แล้ว  บ้างก็ตั้งมูลนิธิขึ้นมาเพื่อจะได้นำเงินที่ควรจะเสียภาษีมาบริหารจัดการเองเพื่อสังคม
นอกจากว่ายังไง ๆ ก็ต้องเสียเงินเหล่านั้นอยู่แล้ว
ยังได้หน้าได้ตาเพิ่มเติมอีกต่างหาก  อย่างไรก็ตามคติคิดเช่นนี้ยังไม่ค่อยพอในอภิมหาเศรษฐีไทยที่หลายคนยังกอบโกยจากรุ่นสู่รุ่น
            ยิ่งกว่านั้นฝรั่งยังมีคติคิดอย่างหนึ่งว่า
"ตายอย่างร่ำรวย ตายอย่างน่าอับอาย"  อภิมหาเศรษฐีฝรั่งที่มีค่านิยมในการบริจาคเงินมหาศาลเพื่อสังคม
เพราะเชื่อตามนายแอนดรูว์ คาร์เนกี อภิมหาเศรษฐีอเมริกันที่กล่าวว่า
"คนที่ตายอย่างร่ำรวย ตายอย่างน่าอับอาย" (the man who dies thus rich dies disgraced). เขาบริจาคทรัพย์เกือบทั้งหมดให้การกุศลก่อนตาย  เหลือไว้ให้ทายาทบางส่วน เพราะมหาศาลจนยังไงก็ใช้แทบไม่หมดอยู่แล้ว  และลูกหลานมักถูกสอนให้รู้จักพึ่งตนเอง ไม่ใช่พึ่งพ่อแม่  ข้อนี้แตกต่างจากไทย
            นี่แหละครับ ด้วยเหตุที่ต้องเสียภาษีกันมหาศาลเช่นนี้
และต้องพิพาทกับชนชั้นสูงในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม  ดีไม่ดีภาษีมรดกออกมาในลักษณะที่เก็บกันนิดหน่อยแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอด
หรืออาจจะดองยาวเช่นรัฐบาลก่อน ๆ ก็เป็นได้  ข้อนี้ในฐานะประชาชนทั่วไปก็คงต้องลุ้นกันว่าจะประสบความสำเร็จ  อย่าได้กลัวว่านักการเมืองหรือคณะผู้บริหารประเทศจะเอาภาษีไปทุจริตหากมีระบบตรวจสอบที่ดี
            ประเด็นที่น่าสังเกตส่งท้ายก็คือการประเมินภาษีซึ่งขึ้นอยู่กับมูลค่าทรัพย์สิน  กรณีนี้ต่างจากประเทศตะวันตก นั่นก็คือ
ราคาประเมินของทางราชการไม่สะท้อนมูลค่าตลาด ไม่มีสัดส่วนที่แน่ชัดว่าเป็นเงินประมาณกี่เปอร์เซ็นตฺ์ของมูลค่าตลาดในแต่ละพื้นที่  ถ้าเราจะซื้อขายหรือแบ่งแยกมรดก
จะไม่สามารถใช้ราคาทางราชการมาเป็นฐานได้เลย  ดังนั้นจึงอาจเกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นได้  ด้วยเหตุนี้จึงควรมีการประเมินราคาทรัพย์สินทั้งหลายตามราคาตลาดก่อนมีการแบ่งแยกมรดก
เพื่อความเป็นธรรมแก่ลูกหลานและการเสียภาษี
          ดังนั้นหากรัฐบาลไทยโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
สามารถทำได้ ก็ต้องสาธุกัน  ผมยินดีกราบท่านเลยแหละครับ
ภาพประกอบ:
57-144.jpg ภาษีมรดก.jpg: ตัวอย่างปราสาทขนาดใหญ่ที่ต้องเสียภาษีจนแทบไม่เหลือราคา
อ้างอิง
