ที่มาของเรื่อง ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวการเมือง
“ปี๊บ” จะกลายเป็นยุทธภัณฑ์ต้องห้ามหรือไม่
ตามรูปการณ์ที่กระแสลุกลามอย่างรวดเร็วและทรงพลัง เริ่มตั้งแต่ต้นตำรับอย่างนายสุกรี เจริญสุข คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ใช้ “ปี๊บ” เป็นมุกเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์
กดดันจนสภามหาวิทยาลัยมหิดลลงมติให้ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน ต้องเลิก
ถ่างขาควบเก้าอี้ รมว.สาธารณสุข และอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล
คนมองลึกไปถึงเกมกระทบชิ่งสูตรถ่างขาควบของรัฐบาล คสช.
ก่อนที่จะลามถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายวิโรจน์ อาลี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ลูกแม่โดม ใช้ปี๊บคลุมหัวเพื่อแสดงออกถึงเสรีภาพทางวิชาการที่ถูกทหารคุกคาม
เรียกร้องความรับผิดชอบของนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ และอีกสถานะหนึ่งก็เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แสดงจุดยืนให้ชัดเจนกรณีที่อาจารย์และนักศึกษาถูกควบคุมตัวในงานเสวนาห้องเรียนประชาธิปไตย
ล่าสุดไปไกลถึงเชียงใหม่ ตามจังหวะที่นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกเปิดโปรแกรมล่วงหน้า ขณะนี้คณาจารย์ของมหาวิทยาลัยได้หารือร่วมกันว่าจะจัดเสวนาหัวข้อ “ปี๊บ” ภายในสัปดาห์นี้
เพื่อแสดงออกว่า เสรีภาพทางวิชาการมีความสำคัญ
ตอกย้ำกันชัดเจนเลยว่า ปี๊บถือเป็นจุดริเริ่มที่ดีที่ทำให้แวดวงนักวิชาการมหาวิทยาลัยผู้ชอบเข้าไปมีบทบาทพัฒนาประเทศร่วมกับคณะรัฐประหารได้ตระหนักว่าแท้จริงแล้ว ตนเองไม่ได้มีความชอบธรรมมากไปกว่านักการเมือง
และควรนำเวลาที่ควบตำแหน่งไปรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ทางการศึกษา ทำให้การจัดอันดับมหาวิทยาลัยกระเตื้องขึ้นมาจะดีกว่า
ตั้งท่ากระแทกอธิการบดี นักวิชาการที่สวมหมวกสองใบ ทำงานให้ คสช.
เรื่องของเรื่อง โดยยุทธศาสตร์การรบในแบบฉบับทหารน่าจะประเมินสัญญาณได้ โดยปรากฏการณ์ “ปี๊บ” มันสะท้อนนัยสำคัญ
แรงเสียดทานด้านปัญญาชนกำลังยกระดับเข้มข้นขึ้นทุกขณะ
และนั่นก็แปรผันตามระดับเสียงเขียวๆของฝั่งท็อปบูต ในอารมณ์ที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม พี่ใหญ่ “บูรพาพยัคฆ์” ก็เริ่มส่งเสียงคำรามฮึ่มๆสวนกลับนักวิชาการ
เตือนกันชัดๆเลยว่า “อย่าให้ล้ำเส้น”
ทุกอย่างต้องทำตามกฎหมาย การเปิดพื้นที่แสดงความเห็นและการเสวนาสามารถทำเรื่องไปที่ คสช. ซึ่ง คสช.จะเป็นผู้กำหนดว่าต้องดำเนินการอย่างไร เพราะ คสช.ต้องการให้เกิดความสงบสุขและปรองดอง แต่อะไรที่เกี่ยวข้องกับการเมืองคงไม่ได้
ลางเนื้อชอบลางยา ทหารกับปัญญาชนเลี่ยงกันไม่พ้นซักที
และที่ส่อเค้าว่ากำลังจะเปิดแนวรบใหม่ โดยสถานการณ์จะพัฒนาไปสู่อาการบาดหมางทางอารมณ์ระหว่างรัฐบาลทหารกับสื่อมวลชน
กับรายการทุบรังนกกระจอกทำเนียบรัฐบาล
ปมเล็กๆที่จะลามเป็นแผลใหญ่ “เพาะเชื้อ” ภาวะทางใจของนักข่าวกับรัฐบาล คสช.
ตามอารมณ์ที่นางยุวดี ธัญญสิริ หรือ “เจ๊ยุ” นักข่าวอาวุโสประจำทำเนียบรัฐบาล ยิงคำถามดังๆไปถึงคนมีอำนาจบนตึกไทยคู่ฟ้า
การทุบรังนกกระจอกมีความสำคัญอะไรกับรัฐบาลหรือ คสช.นักหนา
ทั้งๆที่ปัญหาบ้านเมืองมีจำนวนมากที่รอให้รัฐบาลเข้าไปแก้ไข เข้ามาบริหารประเทศก็ควรคิดเรื่องใหญ่ในการแก้ไขปัญหาของประชาชนทั้งเรื่องข้าว เรื่องยางพารา เรื่องค่าครองชีพ รวมถึงเรื่องการขายลอตเตอรี่เกินราคาที่เห็นว่าจะแก้ไขแต่ก็ยังแก้ไม่ได้ ขอให้เอาเวลาไปคิดเรื่องทำงานมากกว่า
หรือกลัวจะไม่ได้ใช้งบประมาณ
โดยรูปการณ์ที่ยิ่ง “เข้าเนื้อ” มากขึ้นเรื่อยๆ ตามท้องเรื่องต่อเนื่องของรังนกกระจอกที่โยงกับปมร้อน “ไมค์โคตรแพง” ที่เพิ่งล้มกระดานไป ก็อยู่ในโปรเจกต์เดียวกัน
ถ้าเป็นรัฐบาลนักการเมือง เรื่องแบบนี้ถือว่า “อันตราย”.
ทีมข่าวการเมือง