วันอาทิตย์, กันยายน 17, 2566

‘แจกเงินหมื่น’ โดน ศิริกัญญา ก้าวไกลวิพากษ์ยังพอทำเนา เจอ ศุภวุฒิ สายเชื้อ ร้องยี้ ‘ทักษิโณมิคส์’ จะไปต่อได้ถึงไหน

รัฐบาล เศรษฐาพยายามสร้างศรัทธาด้วยภาพลักษณ์ ทักษิโณมิคส์’ มาแต่อ้อนแต่ออก เวลานี้ก็ยังดันต่อไปแม้จะมีเสียง กังขา มากขึ้น ไม่เฉพาะจาก ศิริกัญญา ตันสกุล แห่งพรรคก้าวไกล แต่กับคนที่เคยเป็นที่ปรึกษาตอนหาเสียงก็ยังปริวิตกไว้เยอะ

ศุภวุฒิ สายเชื้อ ซึ่งหลังเลือกตั้งมาแล้วยังเป็นที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตินาคินภัทรเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำอีกคนที่เตือนหลายครั้งแล้วว่า นโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยบางอย่างจะไปไม่รอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน หรือการแจกเงิน

จากการที่ภาพพจน์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ยังไม่พ้นภาวะง่อยเปลี้ยเสียขา ต่อเนื่องมาจากยุคล้างผลาญ ๙ ปีของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่นายกฯ ป้ายแดง เศรษฐา ทวีสิน ก็ยังผลักดันการจัดตั้ง บล็อคเชนฮับ สำหรับเอเซีย โดยไทย

อันผูกพันกับนโยบายประชานิยม แจกเงินหมื่นผ่าน ดิจิทัล วอลเล็ตมูลค่ากว่า ๕ แสนล้านบาท ที่ ดร.ศุภวุฒิระบุว่าจะ “เพิ่มความเสี่ยงเรื่องสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศ โดยรัฐบาลจะต้องทำงบประมาณขาดดุลเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำเงินไปใช้ทำนโยบาย”

โครงการนี้แรกเริ่มเดิมทีเหมือนสร้างวิมานในอากาศ คือแจกเงินดิจิทัลให้คนไปจับจ่ายซื้อของออนไลน์ หวังว่าจะกระตุ้นธุรกิจจนฟู่ฟ่าแล้ว รายได้จะวนกลับมาเป็นฐานงบประมาณดำเนินการ เศรษฐาย้ำว่ายังคิดจะยืมเงินจากรัฐวิสาหกิจมาใช้จุดติด

ข้อกังขาอยู่ที่โครงการนี้จะจุดติดไหม ไม่มีดัชนีอะไรสามารถบ่งบอกได้เลยว่าไปโลด แต่ว่าถ้าจุดไม่ติดล่ะ ดร.ศุภวุฒิ บอก “ก็จะทำให้รัฐบาลต้องขาดดุลงบประมาณมากขึ้น และสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็จะสูงขึ้น เพราะจีดีพีไม่ได้ขยายตัว

ปัญหาอยู่ที่ “เราไม่ได้เกินดุลบัญชีเดินสะพัดเหมือน ๖-๗ ปีก่อน” ความไร้น้ำยาของ ตู่ทำให้เราขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเรื่อยมา นับแต่ขาดดุลฯ ๑ หมื่นล้านในปี ๒๕๖๔ เพิ่มเป็น ๑.๔๗ หมื่นล้านในปีต่อมา และตัวเลขเมื่อกรกฎานี้เอง ขาดดุลฯ ๔๐๐ ล้าน

ยังมีความเสี่ยงล่มจมต่อไปอีก “ถ้าไปกระตุ้นมาก ๆ จะมีปัญหา เพราะว่าในการบริโภคของคนไทยจะมีสัดส่วนของการนำเข้าถึง ๕๐% ของจีดีพี” ดร.ศุภวุฒิว่าถ้าดันทุรังใส่เงินเข้าไปอีก เงินที่ใช้ในการบริโภคครึ่งหนึ่งจะไหลออก

ข้อที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง เป็นการเกิด ขาดดุลแฝดคือขาดทั้งดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดไปพร้อมๆ กัน เหมือนเมื่อครั้งประเทสไทยเจอวิกฤตเศรษฐกิจ ต้มยำกุ้ง เมื่อปี ๒๕๔๐ การแจกเงินแค่กระตุ้นให้เกิด ดีมานด์ จับจ่ายอย่างเดียว

“ไม่ได้จูงใจให้เกิดการลงทุนระยะยาว เป็นการกระตุ้นระยะสั้น และโอกาสที่จะให้จีดีพีโต ๕% ต่อเนื่องอย่างที่รัฐบาลต้องการ” นั้นยากมาก ทักษิโณมิคส์ที่เศรษฐาเอามาใช้ จะยังขลังอยู่หรือเปล่า คงยังตอบไม่ได้...จนกว่า...

(https://www.prachachat.net/finance/news-1391739=IwAR0iJYMX)