วันเสาร์, พฤษภาคม 09, 2563

พระราชินีทรงเล่าเรื่อง การประท้วง ร.9 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และการตอบโต้กลับอย่างสมน้ำสมเนื้อของพระองค์




กลับไปอ่านการประท้วง รัชกาลที่9 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และการตอบโต้กลับอย่างสมน้ำสมเนื้อของพระองค์ในมุมมองของสมเด็จพระนางเจ้าฯสิริกิตต์
......................
ตลอดรัชสมัยของในหลวง ร.9 มีเหตุการณ์หนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ "ไร้มารยาท" ในสายตาของสมเด็จพระนางเจ้าฯสิริกิตต์ พระบรมราชินีนาถ คือเหตุการณ์วันที่ 3 กันยายน 2505 ในงานถวายปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่พระเจ้าอยู่หัว ณ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ออสเตรเลีย
..................
"มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นถวายปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่พระเจ้าอยู่หัว พอเราไปถึงมหาวิทยาลัย ก็ต้องเดินผ่านกลุ่มชายหญิง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนั้น มีพวกหนึ่งยืนอยู่นอกหอประชุม ด้านที่เป็นประตูกระจกเปิดอยู่เป็นระยะๆ ทำให้มองเข้าไปเห็นและได้ยินเสียงจากเวทีข้างในได้ กลุ่มนี้บางคนแต่งกายไม่เรียบร้อยเลย แต่กลุ่มอื่นๆบางพวกก็ดูดี
เมื่อข้าพเจ้าตามเสด็จฯ ผ่านจะเข้าไปในหอประชุม บางพวกก็ปรบมือให้ บางพวกก็มองดูเฉยๆ ไม่ยิ้มไม่บึ้ง แต่บางพวกมองดูด้วยสายตาประหลาด แล้วมีการหันไปพูดซุบซิบและหัวเราะกันก็มี ตัวข้าพเจ้าเองก็อดที่จะมองดูเขาอย่างประหลาดใจไม่ได้เหมือนกัน เพราะเห็นว่าท่วงทีที่คนบางคนยืนช่างไม่น่าดูเลย การแต่งเนื้อแต่งตัวก็ดูจะจะเป็นเครื่องแต่งกายของพวกที่อยากจะเรียกร้องความสนใจมากกว่าที่จะให้นึกว่าเป็นนักศึกษาอันควรจะเป็นปัญญาชน
เมื่อพิธีเริ่มต้น อธิการบดีก็ลุกขึ้นไปอ่านคำสดุดีพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัวก่อนที่จะถวายปริญญา ทันใดนั้นเองข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงเอะอะเหมือนโห่ปนฮาอยู่ข้างนอก คือจากกลุ่ม “ปัญญาชน” ซึ่งยืนท่าต่างๆ ที่ไม่น่าดู เช่น เอาเท้าพาดต้นไม้บ้าง ถ่างขามือเท้าสะเอวบ้าง เสียงโห่ปนฮาของเขาดังพอที่จะรบกวนเสียงที่อธิการบดีกำลังกล่าวอยู่ทีเดียว ข้าพเจ้ารู้สึกว่าอารมณ์โกรธพุ่งขึ้นมาทันที เกือบจะระงับสติอารมณ์ไม่ไหว มองขึ้นไปบนเวทีเห็นบรรดาศาสตราจารย์และกรรมการมหาวิทยาลัยที่นั่งอยู่บนนั้นต่างก็หน้าจ๋อย ซีดแทบไม่มีสีเลือด ท่าทางกระสับกระส่ายด้วยความละอายไปด้วยกันทั้งนั้น
ต่อจากนั้นก็ถึงเวลาที่พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปพระราชทานพระราชดำรัสที่เครื่องขยายเสียงกลางเวที ยังไม่ทันจะอะไร ก็มีเสียงโห่ปนฮาดังขึ้นมาจากกลุ่ม “ปัญญาชน” ข้างนอกอีกแล้ว
ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามือเย็นเฉียบ หัวใจหวิวๆ อย่างไรพิกล รู้สึกสงสารพระเจ้าอยู่หัว จนทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะมองขึ้นดูพระพักตร์ท่าน ด้วยความสงสาร และเห็นพระทัย ในที่สุดฝืนใจมองขึ้นไปเพื่อถวายกำลังพระทัย แต่แล้วข้าพเจ้านั่นเองแหละที่เป็นผู้ได้กำลังใจกลับคืนมา เพราะมองดูท่านขณะที่ประทับยืนกลางเวที เห็นพระพักตร์ทรงเฉย
ทันใดนั้นเอง คนที่อยู่ในหอประชุมทั้งหมดปรบมือเสียงสนั่นหวั่นไหวคล้ายจะถวายกำลังพระทัยท่าน พอเสียงปรบมือเงียบลงคราวนี้ข้าพเจ้ามองขึ้นไปบนเวทีอีก เห็นพระเจ้าอยู่หัวทรงเปิดพระมาลาที่ทรงคู่กับฉลองพระองค์ครุย แล้วหันพระองค์ไปโค้งคำนับกลุ่มที่ส่งเสียงเอะอะอยู่ข้างนอกอย่างงดงาม และน่าดูที่สุด
พระพักตร์ยิ้มนิดๆ พระเนตรมีแววเยาะหน่อยๆ แต่พระสุรเสียงราบเรียบยิ่งนัก “ขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอันมากในการต้อนรับอันอบอุ่นอันแสนสุภาพเรียบร้อยที่ท่านแสดงต่อแขกเมืองของท่าน”
ทรงรับสั่งเพียงเท่านั้นเอง แล้วหันพระองค์มารับสั่งต่อกับผู้ที่นั่งฟังอยู่ในหอประชุม
ตอนนี้ข้าพเจ้าอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ด้วยความสะใจ เพราะเสียงฮานั้นเงียบลงทันทีราวกับปิดสวิทช์ แล้วตั้งแต่นั้นก็ไม่มีอีกเลย ทุกคนทั้งข้างนอกข้างในต่างนั่งฟังพระราชดำรัสเฉย ท่าทางดูขบคิด
ข้าพเจ้าเห็นว่าพระราชดำรัสวันนั้นดีมาก รับสั่งสดๆ โดยไม่ทรงใช้กระดาษเลย ทรงเล่าถึงวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของไทยเราว่า เรามีเอกราช มีภาษาของเราเอง มีตัวหนังสือ ซึ่งคิดค้นใช้ขึ้นเอง เราตั้งกฎหมายการปกครองของเราเอง ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนมา 700 ปี กว่ามาแล้ว
ตอนนี้ข้าพเจ้าขำแทบแย่ เพราะหลังจากรับสั่งว่า 700 ปีกว่ามาแล้ว ทรงทำท่าเหมือนเพิ่งนึกออก ทรงสะดุ้งนิดๆ และทรงโค้งพระองค์อย่างสุภาพเมื่อตรัสว่า
“ขอโทษ ลืมไป ตอนนั้นยังไม่มีประเทศออสเตรเลียเลย”
แล้วทรงเล่าต่อไปว่า แต่ไหนแต่ไรมาคนไทยเรามีน้ำใจกว้างขวาง พร้อมที่จะให้โอกาสคนอื่นและฟังความเห็นของเขา เพราะเรามักใช้ปัญญาขบคิดไตร่ตรองหาเหตุผลก่อนจึงจะตัดสินว่าสิ่งไรเป็นอย่างไร ไม่สุ่มสี่สุ่มห้าตัดสินอะไรตามใจชอบ โดยไม่ใช้เหตุผล”
พระราชินีทรงเล่าเรื่อง เมื่อ "ในหลวง" ทรงรับมือกลุ่มนศ.ออสเตรเลียที่ไร้มารยาท
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_61280