วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 28, 2563

พูดเสียงดังอ้าง “หมุนเงินไม่ทัน” ต้องกู้ล้านล้าน เหมือนเด็กโกหกแม่ ขอตังค์เพิ่ม


เสียงดังไปนิดไม่เป็นไร หรี่ไมค์ได้ แต่ไอ้ที่พูดวกวนเรื่องกู้อีกเป็นล้านล้านนั่น “หมุนเงินไม่ทัน” นี่ระดับเสมียนเขายังไม่กล้าอ้างเลยนะ ไอทู้บ“แม้รัฐบาลจะพยายามทุกวิถีทางในการบริหารจัดการแหล่งเงิน...แต่แหล่งเงินดังกล่าวไม่เพียงพอ”

แน่ะ ไม่นึกถึงปรัชญาของพ่อบ้าง ไม่เพียงพอก็ต้องพอเพียงสิ เรื่องของเรื่องมันไม่ใช่เพราะ โควิด-๑๙ อย่างเดียว “ทำให้รายได้ประเทศลดลง ๙๒๘,๐๐๐ ล้านบาท อาจมีคนว่างงานเพิ่มสูงขึ้นถึงล้านคน จีดีพีไทยจะติดลบ ๕..๐”

เศรษฐกิจฉิบหายขนาดนี้เพราะมันหดตัวตีบลีบติดต่อกันมาแล้ว ๖ ปี พอเจอโควิดจึงปิดฝาโลง รู้ละว่าฉลาด (แกมโกง) ฉวยวิกฤตเป็นโอกาส กำลังหมดปัญญาหาเงินมาอุดกระเป๋าโหว่ที่ถลุงกันไปไม่ได้ ก็พอดีโควิดมาช่วยเป็นข้ออ้างให้

“ต้องใช้เงินเร่งด่วนประมาณ ๑ ล้านล้านบาท ที่ไม่อาจดำเนินการโดยงบประมาณปกติได้ จึงเป็นกรณีฉุกเฉิน และเป็นทางเลือกสุดท้าย” แต่ว่าจะเอาเงินที่กู้ใหม่นี้ไปใช้ใน วัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขน้อยที่สุดแค่ ๔ หมื่น ๕ พันล้าน

อีกเกือบ ๑ ล้านล้านเป็นโครงการ ประชารัฐที่ต่างจากประชานิยมตรงที่จ่ายทิ้งโดยไม่มีผลกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าการเยียวยาหรือการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะธรรมดาของประชานิยมนั้น การใช้จ่ายทั้งสองอย่างจะมองเห็นทางกระตุ้นชัดเจน

ประยุทธ์พูดในการแถลงต่อสภาว่าการกู้หนี้ที่กำลังจะทำนี้ “ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานะหนี้ของประเทศ” แต่ก็พูดเหมือนให้คำมั่นว่าจะบริหารหนี้ “ตามกฎหมายวินัยการเงินการคลัง” โดยอ้าง สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี

เมื่อถึง “สิ้นเดือน ก.ย. ๒๕๖๔ จะมีสัดส่วนร้อยละ ๕๙.๙๖ ซึ่งไม่เกินกรอบร้อยละ ๖๐ สำหรับแนวทางการกู้เงิน” เฮ้ย นี่พูดให้ใครฟัง เด็ก ป.๔ ทั้งนั้นสิ กรอบกำหนดไว้ ๖๐ หมายความว่าถ้าไปถึงจุดนั้นก็แย่เต็มทนแล้วนะ


แล้วเหลืออีก ๐.๐๖ นั่นมันเส้นยาแดงผ่าแปดจะถึงเส้นตาย ไม่มีใครเขาเอามาอ้างกันหรอก นอกจากเด็ก ป.๔ โดนแม่ดุแล้วแถไปเรื่อย ข้างคู คนที่เป็นแม่เค้าก็จะดูว่าไอ้ที่อ้างจะอยู่ในระเบียบวินัยนั้นเชื่อได้แค่ไหน เชื่อไม่ได้ก็ไม่เสี่ยงควักตังค์ให้อีก

ไอ้การโกหกเป็นนิจสินเนี่ย ลำบากใจคนที่เป็นแม่อยู่นะ (อุปมาอุปมัย แม่นี่ไม่ใช่ครูที่บ้าน แต่เป็นประชาชนที่ส่งเด็กชายตูบไปโรงเรียน) เพราะนั่นหมายถึง สันดาน ว่าไปมันกระทบกระทั่งเข้าเนื้อตัวเอง อย่างไรเสียหนีไม่พ้นเชื้อแถว

อย่างวานนี้เรื่องการบินไทย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคมอ้างคำเด็กชายตูบ “ในวันที่การบินไทยกลับมาแข็งแรงแล้ว ก็อาจกลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจเหมือนเดิมก็ได้” เพราะแค่ให้คลังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น จากที่ตอนนี้ต้องขายออกให้เหลือ ๔๘%

แต่ปัญหาการบินไทยมันไม่ใช่หนี้เล็กน้อย ทั้งหมด ๓ แสน ๕ หมื่น ๔ พันกว่าล้าน มากกว่าทรัพย์สินรวมที่มีแค่ ๓ แสน ๔ หมื่น ๙ พัน จะมีฐานดี ประกอบธุรกิจมานาน เคยได้รับรางวัลหลายครั้งก็ตาม แต่ตอนคว่ำนี่หัวขมำไม่เป็นท่า เพราะฐานดีๆ พังทลายไปแล้ว

ความพยายามที่จะ อุ้มด้วยกลยุทธ์คดเคี้ยว ผลุบโผล่ นั่นละจะทำให้แผนฟื้นฟูไม่สำฤทธิ์ผล มันเริ่มจากการตั้งคณะกรรมการกำกับการฟื้นฟู ให้ บริกรผู้ได้ฉายาว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการยกเว้น พวกเดียวกันเว้นได้หมด แค่นี้ก็เห็นผลได้แล้วว่า ไม่ช้าสิ่งเลวร้ายทั้งหลายก็จะกลับมา
 
ดูแต่ยังไม่ทันได้เริ่มการฟื้นฟูจริงจัง อุตส่าห์เปลี่ยนบอร์ดของการบินไทย จับเอาคนหน้าใหม่ๆ เข้าไป ให้เกิดภาพลักษณ์ว่าเริ่มต้นกันด้วยผ้าขาว ปรากฏว่าหนึ่งในนั้นได้รับแต่งตั้งวันเดียวขอลาออกเสียแล้ว ให้เหุตผลว่าต้องเป็นไปตามกฎหมาย ป.ป.ช.

ในเมื่อตน “อยู่ในช่วงที่ต้องว่างเว้นหรือ silent period เนื่องจากเพิ่งลงจากตำแหน่งรัฐมนตรีมายังไม่ครบ ๒ ปี” ก็นับว่านายไพรินทร์ ชูโชติถาวร เขารอบคอบดี ขืนไม่รู้ไม่ชี้เดี๋ยวมีใครร้องขึ้นมาว่าผิดกฎหมาย ก็ยุ่งตายห่า


ประเด็นอยู่ที่ว่าใครวะเป็นคนอนุมัติแต่งตั้งไม่ดูตาม้าตาเรือ ไหนว่าประธานซูเปอร์บอร์ดเก๋า มือกฎหมายเก่า ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็นไปได้ ไม่เช่นนั้นไอ้ความเป็นบริกรคงทำให้คิดง่ายๆ ว่ากรณีนี้ยกเว้นได้อีก ทว่าเจ้าตัวเขาไม่เอาด้วยนี่สิ

รึว่าพอดิบพอดี ใจไม่อยากรับงานนี้อยู่แล้ว อาจเห็นว่าธงของกระบวนการฟื้นฟูแค่เลี่ยงบาลี ซื้อเวลาเพื่อจะเอากลับมาอุ้มใหม่ ไว้ให้นายพลทัพอากาศได้ชิดเชยกันอีก