วันอังคาร, พฤษภาคม 19, 2563

ยังคงรอคอยความยุติธรรม 10 ปีหลังเหตุสังหารหมู่กรุงเทพ - แถลงการณ์ของ Robert Amsterdam 10 ปี พฤษภาคม 2553 (มีคลิป)




ยังคงรอคอยความยุติธรรม: 10 ปีหลังเหตุสังหารหมู่กรุงเทพ

โดย โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม

ในระหว่างช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมของปี 2553 ผมอยู่หลังแบริเออร์บนถนนในกรุงเทพฯ ร่วมกับผู้ประท้วงเสื้อแดง ซึ่งเป็นเวลาทั้งหมด 66 วันแล้วที่กลุ่มชุมนุมปิดยึดพื้นที่ในส่วนกลางของกรุงเทพฯ และเป็นที่สนใจไปทั่วโลก

ผมถูกส่งไปอยู่ที่นั่นโดยอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ ชินวัตร ผู้ที่จ้างวานให้สำนักงานกฎหมายของผมคอยช่วยเหลือให้คำปรึกษาทางกฎหมายกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) รวมถึงให้ช่วยเหลือหาหนทางด้านกฎหมายเพื่อจะปลดล๊อครัฐบาล เนื่องจากในขณะนั้นประเทศกำลังตกอยู่ในกำมือรัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรม เข้ามาอยู่ในตำแหน่งโดยการร่วมมือกับศาลเพื่อโค่นล้มรัฐบาลเสียงข้างมากที่มาจากการเลือกของประชาชน

ช่วงไม่กี่สัปดาห์อันโหดร้ายนั้น เหตุการณ์นำไปสู่สถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ผมยังจดจำทุกอย่างได้ดี กลิ่นควันไฟรวมถึงเสียงปืนดังตลอดทั้งคืน ผมอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่เสธแดงถูกซุ่มยิง เขาเป็นหนึ่งในแกนนำเสื้อแดงซึ่งถูกยิงที่ศีรษะขณะกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวจากนิวยอร์คไทม์ พวกเขาฆ่า ฟาบิโอ โปเลงกี ช่างภาพจากสำนักข่าวรอยเตอร์อย่างเลือดเย็น พวกเขาฆ่าเด็กที่ไม่มีอาวุธ พยาบาล แม้กระทั่งคนที่หลบภัยอยู่ในวัด พวกเราแจ้งไปยังรัฐบาลอย่างชัดเจนและหนักแน่นว่าให้หลีกเลี่ยงเหตุการณ์นองเลือด โดยสัญญาว่าจะยุติการประท้วงทันทีเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการจัดให้มีการเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว ข้อเสนอนั้นถูกเพิกเฉยและตอบกลับมาด้วยความเงียบ นั่นเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเป้าหมายของรัฐบาลไม่ใช่แค่การสลายการชุมนุม แต่คือการใช้ความรุนแรงกดปราบกลุ่มผู้ชุมนุมและสร้างความหวาดกลัวให้คนไทยต้องยอมจำนน

การกวาดล้างจบลงในวันที่ 19 พฤษภาคม โดยกลุ่มชายชุดดำใช้ปืนยาวซุ่มยิงมาจากบริเวณรางรถไฟบีทีเอส มีรถถังและรถติดอาวุธเคลื่อนมายังบริเวณด่านกีดขวางของผู้ชุมนุม ผมโชคดีที่หลบหนีไปฮ่องกงได้ทัน แต่มีหลายคนที่โชคร้าย มีคนถูกทหารไทยสังหารมากกว่า 98 คน ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่วัน และกว่า 2,000 คนได้รับบาดเจ็บจากปฏิบัติการทางการทหารซึ่งสั่งการโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ซึ่งทำรัฐประหารและกลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา

ในเวลาครบรอบสิบปีการสังหารหมู่กรุงเทพฯ ซึ่งน่าเศร้าโศกนี้ ผมอยากถือโอกาสเผยแพร่สมุดปกขาวที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้อีกครั้ง “A Call for Accountability” ซึ่งเผยแพร่ไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2553 น่าเศร้าที่แม้เวลาผ่านมาสิบปีแล้วแต่บริบทในรายงานนี้ก็ยังคงร่วมสมัยอยู่

หลายครอบครัวต้องโศกเศร้ากับการตายของคนในครอบครัวที่ถูกทหารไทยพรากชีวิตไป พวกเขายังคงไม่ได้รับความยุติธรรม ความเจ็บปวดของครอบครัวเหยื่อยังคงดำเนินต่อไปในทุกๆ วัน ความทรงจำเหล่านั้นยังคงไม่จางหาย ขณะที่ผู้ฆ่า ผู้อุปถัมภ์ และผู้ที่ได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงลอยนวลพ้นผิดและไม่ได้รับผลกระทบใด ขณะเดียวกันก็มีความพยายามที่จะปั้นแต่งความจริงและกระบวนการปรองดองก็เกิดขึ้นอย่างน่าขบขันและไร้ซึ่งแก่นสารหรือความหมายใด

เหตุการณ์ครั้งนี้มีหลายสิ่งให้ได้เรียนรู้ว่าทำไมโลกจึงปล่อยให้ประชาธิปไตยในไทยถูกทำลายลงไป หากมองกลับไปถึงประวัติศาสตร์ชาติไทย นับแต่ที่เราได้รับผลกระทบจากนโยบายต่างประเทศของอเมริกาซึ่งทำให้ไทยแบ่งแยกออกเป็นสองฝักฝ่าย ความล้มเหลวในการเรียกร้องความรับผิดชอบในเหตุการณ์สังหารหมู่ปี 2516 ปี 2519 และปี 2535 แม้กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้จากนโยบาย "ปักหมุดเอเชีย" (Pivot to Asia) ของรัฐบาลโอบามา ที่มีข้อบกพร่องมากมายและให้ผลในทางตรงกันข้าม

การรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศและท่าทีของแวดวงเอ็นจีโอในการรัฐประหาร 2549 ตุลาการภิวัตน์ปี 2551 หรือกระทั่งเหตุการณ์สังหารหมู่ปี 2553 และเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องมา ได้สร้างความชอบธรรมอย่างสมบูรณ์ให้กับฝ่ายเผด็จการ ทำไมพวกเขาจึงเข้าใจอะไรได้ผิดพลาดขนาดนั้น?

ข้อสรุปในความผิดพลาดครั้งนี้คือการสูญเสียชีวิตผู้คน สูญเสียอาชีพ คนนับพันถูกจับเข้าคุกและคนนับล้านสูญเสียสิทธิทางการเมือง สิทธิมนุษยชน และเสรีภาพ

ในวันนี้ซึ่งครบรอบสิบปีหลังจากการสังหารหมู่ เรามีหน้าที่จะต้องจดจำทุกชีวิตที่สูญเสียไป ถือเป็นความรับผิดชอบของพวกเราที่จะเตือนผู้มีอำนาจให้รู้ว่าเราจะไม่ยอมให้การลอยนวลพ้นผิดดำเนินไปอย่างไม่รู้จบ อาชญากรรมของพวกเขาจะไม่ถูกลบเลือน เรามีพันธสัญญาที่จะยกย่องและให้เกียรติทุกชีวิตที่อาศัยในประเทศที่สวยงาม อันแสนซับซ้อนและสำคัญนี้ อนาคตอยู่ในกำมือคนรุ่นใหม่และเราหวังว่าความจริงนี้จะถูกเปิดเผยมากยิ่งขึ้นในอนาคต
...



Robert Amsterdam, an international lawyer who acted in defense of the Red Shirt pro-democracy movement in Thailand, reflects on the ten-year anniversary of the military's brutal crackdown which killed almost 100 people and injured some 2,000, and why we have yet to see justice or accountability.
..

Still Waiting for Justice 10 Years after the Bangkok Massacre


By Robert Amsterdam | Published: May 18, 2020


In late April and early May of 2010, I found myself on the streets of Bangkok behind the barricades among the Red Shirt protest movement, which had captured the world’s attention with their 66-day long rally occupying a central area of the capital.

I had been sent there by my client, the former Prime Minister Thaksin Shinawatra, who had engaged our law firm to provide legal assistance to the United Front for Democracy against Dictatorship (UDD) and to try to help find a solution to the impasse, as the country was currently under an illegitimate government that had been forced into place via rigged court rulings to invalidate the democratic majority.

During those crucial weeks, events were quickly slipping out of control. The memories of the fatigue-inducing heat, the acrid smoke from the fires, and the gunshots ringing out all night remain visceral to me. I was just a few blocks away on the street when a sniper assassinated one Red Shirt leader, Seh Daeng, with a shot to the head while was he was literally doing an interview with a New York Times reporter. They brutally executed the Reuters photojournalist Fabio Polenghi. They were killing unarmed children, nurses, and even passersby seeking refuge at temples. We presented a very clear and frankly desperate offer to the government to avoid bloodshed, promising an immediate end to the protests in exchange for fresh elections – an offer which was ignored and silenced. The message was clear – their goal wasn’t to clear the rally, it was to violently crush the movement and terrorize the Thai people into submission.

The final sweep concluded on May 19, as men in black uniforms took sniper positions on the elevated BTS train lines and tanks and armored cars rolled over the barricades. I was fortunate to safely evacuate to Hong Kong. Many others were much less fortunate. More than 98 people were murdered by the Thai military in a handful of days, and more than 2,000 injured in a military operation ordered by then-Prime Minister Abhisit Vejjajiva and the current coup-appointed Prime Minister Prayut Chan-ocha.

On this mournful ten-year anniversary of the Bangkok Massacres, I wanted to take the opportunity to re-release our comprehensive white paper documenting these events, “A Call for Accountability,” which was published in July 2010. Given the tragic arc of events that have taken place in the past ten years in Thailand, the contents of the paper remain sadly quite contemporary.

The grieving families of those killed by the Thai military have still not been offered the justice they deserve. Their pain continues each and every day, and the memories have not faded. The impunity enjoyed by the killers, their sponsors, and those who have benefitted has remained entirely intact, while dress rehearsals of truth and reconciliation efforts have been comically performative and devoid of substance or meaning.

There is much to learn about how the world stood back and let democracy die in Thailand. You could look back to the historical impact of interventionist U.S. foreign policy which established Thailand’s dual state, the failures to demand accountability after massacres in 1973, 1976, and 1992, or you could even fast forward to find numerous strategic flaws in the Obama administration’s “pivot to Asia” strategy (spoiler alert: it backfired). You could point to the incomprehensible global media coverage and responses by the NGO community to the 2006 coup, the 2008 judicial coup, or even the 2010 massacre and the events following which did so much to legitimize the slide toward outright dictatorship. How they could have possibly gotten it so horribly wrong?

The culmination of these failures can be counted in lives lost, careers destroyed, thousands imprisoned and millions deprived of their rights to representation and basic human rights and liberties.

On this day, ten years after the massacres, we have a duty to remember all the lives lost, a responsibility to continue reminding those in power that impunity will not be tolerated forever and their crimes will never be forgotten, and a commitment to upholding the dignity and sanctity of each and every soul living in this beautiful, complex, and indispensable country. The future belongs to the young people of Thailand, and the truth will demand to be heard.

https://robertamsterdam.com/still-waiting-for-justice-10-years-after-the-bangkok-massacre/
...

Thailand: The Bangkok Massacres – A Call for Accountability


On July 22, 2010, Amsterdam & Partners launched a seminal White Paper highlighting the crimes against humanity committed by the Thai Army against peaceful protesters and bystanders during the April-May 2010 Bangkok massacre. The White Paper highlighted Thailand’s obligations under International Law to allow independent and impartial bodies to investigate and prosecute all responsible parties for the killings of at least 91 Thai citizens.

Speaking at the time of the launch of the paper, Robert Amsterdam said, “The recent violence in Thailand is part of a larger campaign of political persecution designed to eliminate the movement calling for restoration of the basic right to self-determination through genuine elections.”

The full text of the paper is below, and a PDF copy can be downloaded here.

The Bangkok Massacres: A Call for Accountability by Robert Amsterdam

(https://amsterdamandpartners.com/white-papers/thailand-the-bangkok-massacres-a-call-for-accountability/)