คู่มือเดินห้างฯ อุทานได้คำเดียวว่า “ตายโหง” !!
#อยู่บ้านต่อไปชาวเรา
Arunwatee Kong Li Chattay
ooo
ถ้าจะเปิดแบบไม่เปิด
ไม่เปิดไปเลยเสียดีกว่าครับ
...
ในนามของการเปิดพื้นที่ให้คนกลับมาทำมาหากิน
ฟังแล้วเหมือนจะดี
แต่พอลงไปในรายละเอียด ที่เจอกับข้อปฏิบัติหยุมหยิม
จนกระทั่งเอาเข้าจริงจะเปิดทำการไม่ได้
หรือถึงทำได้ก็ต้นทุนสูงลิบลิ่ว
เอาเข้าจริงก็เหมือนกีดกันคนตัวเล็กตัวน้อย ธุรกิจย่อมย่อยทั้งหลาย ไม่ให้โงหัวขึ้นมาได้
ยกตัวอย่างเท่าที่เจอมาหรือมีผู้บอกเล่าให้ฟังนะครับ
...
-ร้านก๋วยเตี๋ยว
แยกโต๊ะคนกิน มีฉากกั้น มีอะไรต่อมิอะไรแล้ว
แต่เจ้าหน้าที่มาตรวจบอกไม่มีเครื่องวัดอุณหภูมิลูกค้าที่จะเข้าหน้าร้าน
ขู่ด้วยว่า หนหน้ามาตรวจถ้ายังไม่มีอีก
ปรับหนึ่งแสน ปิดยาวถึงสิ้นปี
-ร้านตัดผม
ให้เปลี่ยนผ้าคลุมทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนลูกค้า
ฟังดูดี๊ดี
แต่ถามว่าใครจะเป็นคนออกทุนไปซื้อผ้าคลุมใหม่ให้เขา
ปิดมาเดือนหนึ่งนี่เงินเก็บเอาไปซื้อข้าวกินพอหรือเปล่ายังไม่รู้เลย
และผ้าคลุมส่วนเกินนี้ ต่อไปถ้าไม่มีโรคระบาดจะให้เอาไปเป็นผ้าคลุมโลงใคร
-กองถ่าย
พอถูกด่ามากๆ ก็ขยายกองจาก 5 เป็น 50 คน
(แสดงว่าสั่งหนแรกนั้นเหมือนสั่งขี้มูก ไม่ได้มีความรู้ ไม่ได้หาข้อมูลอะไรเลย)
แต่ผ่ามาสั่งเพิ่มว่าห้ามมีบทรัก บทบู๊
คือจะไม่ให้อยู่ใกล้กันเลยทั้งเรื่อง
บอกให้ใช้มุมกล้องหรือซีจีเอา(ฮา)
ตกลงนี่มันละครหรือสารคดีธรรมะ(วะ)
อย่างนั้นไม่นิมนต์ วอ วชิรเมทัล พระมหาสมปอง หรือพระอาจารย์พยอม มาเป็นพระเอกเลยดีกว่าไหม
...
เข้าใจในเจตนาดี ในความหวังดี ในความหวั่นระแวงกลัวว่าโรคระบาดจะกลับมาระลอกสอง
แต่ความกังวลหรือเจตนืดีทั้งหลายเท่านี้
ต้องตั้งอยู่บนฐานของข้อมูลข้อเท็จจริงนะครับ
จะใช้”ความรู้สึก”เข้ามากำหนดความเป็นไปของชีวิตผู้อื่น หนือการเกิดดับของสังคม
ไม่ได้
เช่น จะเปิด เปิดแค่ไหน เปิดอะไร เปิดยังไง
เอาเข้าจริงหาข้อมูลในการตัดสินใจไม่ยาก
และถ้ายิ่งเอาข้อมูลยั้นมาวางแบบให้คนทั่วไปรู้ทั่วและรู้เท่ากัน
เพื่อรับฟังเสียงของ”คนสู้ชีวิต”ตัวจริงทั้งหลาย
ก็จะยิ่งได้มาตรการที่รอบคอบรัดกุม
และสอดคล้องกับความเป็นจริง-ขีวิตประจำวันมากขึ้น
...
แต่ไอ้นิสัย(คำสุภาพของ....)”คุณพ่อรู้ดี”-แต่รู้ไม่จริง
เมื่อไหร่จะหมดไปเสียที
จะทำงานทั้งที จะออกนโยบายหรือมาตรการอะไร การค้นคว้าหาข้อมูลข้อเท็จจริงให้ละเอียดรอบด้าน
นี่มันยากนักหรือไร
อย่างที่อาจารย์เกษียร เตชะพีระ Kasian Tejapira เคยให้คำจำกัดความไว้นั่นละครับว่า
รัฐ-ราชการไทยนั้น
อำนาจมาก สมรรถภาพน้อย
ไอ้มาตรการเปิดเมืองแบบเปิดไม่ได้จริง
หรือเปิดได้แต่โยนภาระให้ชาวบ้าน
มันยืนยันข้อสรุปที่ว่าได้ชัดเจน
...
นี่ขนาดยังไม่นับด้วยนะครับว่า
ระเบียบกติกาบ้าบอที่ไม่ค่อยคำนึงถึงชีวิตจริงของคนทั่วไป
จะเป็น”ช่องทางทำมาหากิน”ของผู้ถืออำนาจทั้งหลาย
ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก
อีกต่างหาก
...
เห็น”ความบกพร่องทางปัญญา”แบบนี้แล้วก็ได้แต่ถอนใจ
ก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อไปให้ดีที่สุด
สร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ครอบครัว องค์กร คนรอบข้าง ให้ดีที่สุด เข้มแข็งที่สุด
เพราะนอกจากรัฐจะพึ่งพาอาศัยไม่ได้
(ตั้งแต่เยียวยาจนมาฟื้นฟู)
ยังทำตัวเป็นตุ้มถ่วงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ในโลกยามปกติ รัฐที่ไร้สมรรถภาพก็เป็นภาระของชาวบ้านอยู่แล้ว
ในโลกยามวิกฤติมหาวิกฤติ รัฐที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ปรับปรุง ไม่ยกระดับตัวเองขึ้นมา
ไม่รู้จะลากเราลงเหวลึกไปถึงขนาดไหนได้อีก
เฮ้อ
...
นี่เพิ่งเห็นล่าสุดเรื่องคำแนะนำจาก สสส.
บอกว่าต่อไปนี้กินข้าวเหนียวห้ามใช้มือจก
5555
บ้า อีกแล้วครับท่าน
ถ้าจะออกคำแนะนำอะไร เอาที่มันตรงกับชีวิตจริงหน่อยไม่ได้หรือ
เช่น กินข้าวเหนียวคนละกระติ๊บ
แล้วเน้นเรื่องล้างมือให้สะอาด
เออ อย่างนั้นยังเข้าท่ากว่า
ไม่ให้ใช้มือจกข้าวเหนียว
มิตรสหายหลายท่านถามว่า จะให้ใช้ตะเกียบแบบจีน หรือมีดแบบฝรั่งแทนหรือ(วะ)
555(อีกที)
สังคมไทยยุค”คุณพ่อรู้ดี”นี่มันพิลึกขึ้นทุกวัน
Thakoon Boonparn
...