วันเสาร์, พฤษภาคม 09, 2563
"รอยัล เวิลด์ ประเทศไทย" โพสต์ยาว "อนาคตของทอง(เริ่มลอก)ที่ไม่รู้ร้อน"
“เสื่อม” มนต์จางฤทธิ์แล้ว คำกรอง จริงฤๅ
“สิ้น” เสน่ห์ครรลอง เลื่อมไซร้
“มนต์” วิเศษคำทอง เขินขอด
“ขลัง” อักษราจ้อยไร้ เหตุร้าง ดรุณสาน ฯ
(วัคคุวัท)
สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยกำลังเผชิญกับศึกรูปแบบใหม่ที่ทำให้สถานะสั่นคลอนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติสยาม ถึงแม้ประชาชนจำนวนไม่น้อยยังเคารพศรัทธาอย่างเหนียวแน่น หากแต่อีกจำนวนไม่น้อยที่มีความไว้วางใจ และความศรัทธาน้อยลง อันก่อให้เกิดช่องทางสำหรับประชาชนที่ไม่เคารพและต่อต้านแสดงความคิดเห็นทางลบต่อสถาบันมากยิ่งขึ้น
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยถูกมองว่าไม่เคยปรับตัวเข้ากับประชาชน แต่เป็นประชาชนที่ต้องเป็นฝ่ายเข้าหาสถาบันเอง สถาบันถูกมองว่าอาจไม่เคยแยแสความรู้สึกของประชาชนทุกประเภท เอาใจใส่ความรู้สึกด้านเดียว นั่นคือความรู้สึกที่ยังจงรักภักดีต่อสถาบันเท่านั้น และอาจพยายามจัดการกับฝ่ายที่แสดงความคิดเห็นเชิงลบ เนื่องด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่ในสถานะที่ไม่สมควรลงมาเกลือกกลั้วกับสิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งอวมงคลต่อสถาบัน
ด้วยความพัฒนาอย่างก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีที่ประชาชนสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้มากขึ้นและว่องไวขึ้น ประชาชนได้รับรู้ข่าวฉาวที่ครึกโครมทั่วโลก ยกเว้นในประเทศไทย ที่แน่นนอนว่าไม่มีสื่อมวลชนสำนักใดๆนำเสนอข่าวด้านลบของราชสำนัก เนื่องด้วยอยู่ในสถานะที่สามารถถูกฟ้องร้องและวิจารณ์ในทางใดๆมิได้ ในฐานะที่อยู่จุดสูงสุดของประเทศชาติ จึงไม่มีการแก้ข่าวหรือแถลงไขข้อเท็จจริงใดๆ และมีหน้าที่ให้ประชาชน “สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้” เท่านั้น
กระแสด้านลบที่มีมากขึ้นนี้ จะไม่อาจเป็นปัญหาสำหรับคนที่รักสถาบันมาก และไม่มีข้อสงสัยใดๆ หากแต่ไม่ใช่กับคนที่รักสถาบัน แต่เริ่มมีข้อกังขาในจิตใจขึ้น โดยเฉพาะต่อผู้ที่มีสถานะเป็นเหมือนเสาหลักของชาติ ที่แทบไม่เคยมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาปวงประชา โดยเฉพาะเรื่องราวส่วนพระองค์ จึงนำมาซึ่งข้อกังขาว่า คนที่เขารัก ยังสมควรเป็นคนที่เขาควรรักอยู่อีกหรือไม่ จึงเริ่มถอยห่างและเหนื่อยที่จะปกป้อง หรือเลือกที่จะเมินเฉย จึงเป็นโอกาสเหมาะสำหรับคนที่ต่อต้านเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม บางคนที่มีสติในการวิจารณ์ อาจสามารถแยกแยะเรื่องส่วนพระองค์ออกจากพระราชกิจที่ทรงกระทำ ยินดีที่จะไม่แตะเรื่องราวส่วนพระองค์ตราบใดที่ไม่กระทบเป็นวงกว้างกับความเป็นอยู่ของประชาชน แต่จะทำอย่างไร หากเมื่อเป็นผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประชาชน และประเทศชาติ
การที่ประชาชนมองว่าสถาบันเริ่มห่างเหินกับประชาชนมากขึ้น ซึ่งถูกมองว่าสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคมมากขึ้น จึงมีการถามหาสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคให้สมกับเป็นประเทศประชาธิปไตย ขณะเดียวกัน ได้แสดงความเกลียดชัง อาฆาตมาดร้ายอย่างเปิดเผยในโลกสาธารณะอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงก่อให้เกิดฟางเส้นสุดท้าย กระแสสาธารณรัฐนิยม ที่อาจนำไปสู่การสิ้นสุดระบอบพระมหากษัตริย์ที่อยู่คู่ชาติมาเกือบ 800 ปี
ในอีกกระแสหนึ่ง หากยังคงต้องการให้มีสถาบันอยู่ หลายต่อหลายคนได้เสนอแนวคิดการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์แบบยกเซ็ต เพื่อสอดคล้องและดำเนินเคียงข้างประชาชน ดังเช่นการจัดการงบประมาณหลวงที่มีจำนวนมากปราศจากรายละเอียดใดๆ ที่ทำให้ถูกมองว่ามากเกินความจำเป็น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นที่มีมาตลอดเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์มาตรา 112 ที่ประชาชนให้ความเห็นว่า หากปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกกฎมาตรานี้ไปเสีย สถาบันสามารถถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเสรีได้ ตราบใดที่ไม่เป็นการดูหมิ่น กล่าวความเท็จ หรืออาฆาตมาดร้าย และมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ให้ประชาชนหมดข้อข้องใจใดๆ เนื่องจากอดีตที่ผ่านมามีหลายคนที่ถูกจับด้วยข้อหาขัดกับมาตรากฎหมายนี้เพียงเพราะการแชร์ข้อมูลข่าวสารบนโลกออนไลน์ หรือการจับกุมไร้ซึ่งการพิสูจน์หลักฐานอย่างไม่เป็นธรรม
ขณะเดียวกัน ในมุมมองที่มีต่อประชาชนที่มีความเห็นด้านลบต่อสถาบัน ที่มีจำนวนไม่น้อยที่แสดงความคิดเห็นแบบด่าทอโดยไร้ซึ่งขอบเขต ซึ่งต้องยอมรับว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยด่าทอสิ่งใดๆโดยไม่สนใจความเป็นจริง เนื่องจากการยึดติดความเชื่อกับสิ่งที่ได้รับมาจนกลายเป็นอคติในใจ เช่นนั้น จะดีหรือไม่ หากมีการยกเลิกกฎหมายดังกล่าวจริง ในเมื่อยังประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ไร้ซึ่งวุฒิภาวะในการแสดงความคิดเห็น
เพื่อตราอนาคตของสถาบันให้คงอยู่วัฒนาถาวร ถึงเวลาแล้วหรือยัง หรือเลยเวลามามากแล้ว หรือหมดเวลาแล้ว ที่เบื้องบนต้องจัดการอะไรซักอย่างเพื่อให้สถาบันดำเนินไปอย่างผาสุกร่วมกับประชาชน สถาบันพระมหากษัตริย์ประเทศอื่นยังสามารถปรับตัวได้ หากจะยกประเด็นเรื่องของบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ก็อาจไม่ถูกนัก เมื่อหลายประเทศที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเฉพาะตัว สามารถประยุกต์ได้กับสถาบัน เนื่องจากมิใช่เพียงสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นตัวกำหนดความเป็นไปของราชวงศ์ หากแต่เป็นประชาชนเช่นกัน ความหวังของคนที่ยังรักและเคารพสถาบันยังมีอยู่ไม่น้อย ในเมื่อศรัทธายังเหนียวแน่นอยู่ ต่างตระหนักดีว่า ถึงแม้จะแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่สามารถใช้ช่วงเวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ ให้คนจดจำในเรื่องราวดีๆให้มากที่สุดด้วยตนเองได้เช่นกัน
โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในสถานะเสมือนเสาหลักของชาติ ที่ต้องรักษาราชบัลลังก์ที่ไม่ใช่แค่การเป็นเพียงเก้าอี้เคลือบทอง อาจต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเรียกความเชื่อมั่นมาจากประชาชนให้ได้มากที่สุด ซึ่งไม่ง่ายเลยโดยเฉพาะกับคนยุคใหม่นี้ เนื่องจากโฆษณาชวนเชื่อเริ่มใช้ไม่ได้ผลกับคนยุคใหม่แล้ว พิสูจน์ด้วยพระองค์เอง ว่าทองจะยังเป็นทอง หรือเป็นทองลอก กลายเป็นดินที่อาจดูไร้ซึ่งคุณค่าและน่าจดจำ เพื่อผดุงความศรัทธาของประชาชนที่เปรียบเสมือนน้ำที่คอยอุ้มเรือเหนือผิวน้ำ แต่สามารถกลายเป็นเกลียวคลื่นที่จมเรือได้เช่นกัน
ประวัติวีรบุรุษไซร้ เตือนใจ เรามา
ว่าอาจจะยังชนม์ เลิศได้
และยามจะบรรลัย ทิ้งซึ่ง
รอยบาปเหยียบแน่นไว้ แทบพื้น ทรายสมัยฯ.
(ดุสิตสมิต)
สำหรับประชาชนเองควรใช้วิจารณญาณที่เปี่ยมด้วยสติสัมปชัญญะในการแสดงความคิดเห็น ใช้หลักการและเหตุผลมากกว่าอารมณ์และความรู้สึก สังคมไทยสามารถพัฒนาได้ด้วยการยอมรับความเห็นต่าง สามารถมาเจอกันคนละครึ่งทาง ร่วมกันถกเถียงและหาแนวทางอย่างสร้างสรรค์อันนำไปสู่สังคมที่วัฒนาถาวรได้เช่นกัน
สมศักดิ์หน่อเนื้อชาติเชื้อศรีสยาม รอยัล เวิลด์ ไทยแลนด์ สนับสนุนการแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพชน
----
The Monarchy of Thailand is facing a new battle which causes the shaking status in Thai history. Although there are still a lot of people with strong faith to the monarchy, there are also a lot of them having less trust and faith towards the firm. It is hence a good chance for those who strongly reject the monarchy.
One of the reasons, Thai Monarchy is seemed never adapt to the people, but the people themselves need to adapt to the monarchy. The firm is seemed forgetful every single kind of the people’s feelings, but only one, the faith, and is trying to eliminate the negative views, as the monarchy is referred in the status not to be involved in such a catastrophe.
As people can easily reach the news via technology, most people via online acknowledged the scandal news which has been spread worldwide, except Thailand, as no Thai News medias choose to publish the negative news about Thai Royal Family. As stated in the law, the monarchy shall not be criticised or involved in any accusation as it is highly revered of the country. Any negative news is never been come clean in any case.
For these increasing negative views, it is never been a problem for those who really love and respect the firm. On the other hand, those who love starting to have a question in mind, especially towards the one who is referred as the national pillar, who has never had a good public image among the people, particularly the personal life. The question comes: if the one whom they love is still deserved to be loved. Some people then step back and choose to ignore, which comes a good chance for those who has been waiting to strike the monarchy.
However, someone with thoughtful criticism can separate his personal life from his public duties. They choose not to talk about his personal life if it is not affected to the well-being of the people. But what would they do, if it is affected to the image of the whole nation?
As the monarchy is seemed further distant from the people, which the social inequality has become a topic, people hence look for the proper freedom and equality to fulfill the country’s democracy. Meanwhile, public haters are openly revealed which never happened before. At the moment, the idea of republicanism has been risen up to end the monarchy which has been alongside the nation for almost 800 years.
On the other hand, for the views of those who still want to retain the monarchy presented an idea of reformation to properly follow alongside the people, especially the topic of using the Lèse Majesté, which is criminalised by Section 112. It is presented to be adapted to use in really proper way, or even abolished in order to be criticised independently without disparaging or illegal accusation, as many people have been inequitable arrested in charge of this section law.
Meanwhile, there are also a lot of people with senseless disdaining without realising the truth or choose to believe from what they know and become haters. Is it hence good or not to abolish the law while there are still people with senseless comments?
It’s time? Or It’s been time? Or the time is up for the monarchy to do something to remain themselves with the people happily for their own future? Other monarchies can adapt themselves without concerning in any cultural or traditional contexts. It is not only cultural identity which identifies the well-being of the monarchy, but also the people. There is still hope from the ones who still love and respect with full faith. Although the past cannot be edited, but the present shall be used to create any memorable things in good ways in the remaining time.
Particularly the person who is referred as the national pillar, who must keep the throne which is not referred only as “a golden chair”, would spend quite long time to gain back the trust from the people as much as they can. It is now uneasy for the people in the new generations extraordinarily, as any royal propagandas do not work well for most of these new gens. Prove yourself whether gold is still a gold, or worthless clay. Retain the faith from the people who can be compared as water holding a ship, and can be also turned to a tidal wave to sink it down….
https://www.facebook.com/royalworldthailand/posts/2685818904856479