ปปช.นี่เขาคงเส้นคงวาดีจัง
คนของใครย่อมรับใช้ผู้มีพระคุณไม่แชเชือน คิดได้แล้วนาฬิกายืมเพื่อนเนี่ย “เป็นการยืมใช้คงรูป
แม้เป็นหนี้ แต่มิใช่หนี้สินตามที่คณะกรรมการฯ กำหนดให้ต้องแสดงในบัญชี”
ฉะนี้คดีที่ฟ้องพี่ป้อม หลุดโลด
หลายคนบอกเพิ่งเคยได้ยินว่ามีการ “ยืมใช้คงรูป”
ด้วยเหรอ นี่ไง ปปช.บอกแล้ว ใช้เป็นมาตรฐานใหม่ ให้ยืมใช้แล้วยังคงรูปก็โอเคร
จะเป็นแหวนเพชร บ้าน แม้กระทั่งธนบัตร เพราะถ้ายังจำนวนเดิม คงรูปเดิมไม่ย่อยสลาย ก็น่าจะได้ทั้งนั้นนะ
ข้อสำคัญขอให้บอกว่ายืมมาเท่านั้น เสียท่า
ปปช.ไม่ได้ลงรายละเอียดด้วยว่าคนที่จะใช้แต่คำพูดอ้างว่ายืมนั้นต้องระดับ ประวิตร
วงษ์สุวรรณ หรือตาสีตาสาก็ได้ ในเมื่อกรณีนี้ฟังแต่คำพูดอดีตรองหัวหน้า คสช.นายเก่าของประธาน
ปปช.พอแล้ว
แม้เมื่อมีการตรวจแหล่งที่มาของนาฬิกา ๒๒
เรือนที่นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนสนิท พล.อ.ประวิตรจากโรงเรียนเซ็นคาเบรียล
ไม่ปรากฏหลักฐานการนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ด้วยเหตุที่นายปัฐวาทผู้นี้เป็นมหาเศรษฐีชอบสะสมนาฬิการาคาแพง
จึงเชื่อได้ว่าได้ให้
พล.อ.ประวิตรยืมด้วยความสนิทสนม เพราะเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มศิษย์เก่าเซ็นคาเบรียลก็มีที่นายปัฐวาทให้ยืมนาฬิกาสวมใส่เหมือนกันบางคน
แม้นไม่สามารถตรวจได้ว่านาฬิกาที่ พล.อ.ประวิตรบอกคืนหมดแล้วยังมีอยู่ไหม
เพราะเจ้าของเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม
อันนั้นไม่แน่ใจว่า
ปปช.ใช้เหตุผลใดวินิจฉัยตามมาตรฐานใหม่เรื่องการ ‘คงรูป’
ซึ่งปุถุชนอย่างเราๆ ย่อมเข้าใจว่าหมายถึงการมีตัวตนอยู่ของนาฬิกาเหล่านั้น
เอาเป็นว่า ปปช.เชื่อทุกถ้อยคำที่ พล.อ.ประวิตรอ้างก็แล้วกัน
จะว่าเพราะ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจเป็นวัวเคยขาของ
พล.อ.ประวิตรก็ไม่ได้นะ ในเมื่อประธานได้ขอถอนตัวจากการพิจารณาคดีนี้ไปแล้ว และมติ
ปปช.ที่เหลือออกมา ๕ ต่อ ๓ ข้างมากขาดลอยอยู่แล้ว แสดงว่าส่วนใหญ่เชื่อว่า “คืนหมดแล้ว”
ดังอ้าง
ส่วนการตัดสินว่าการยืมของแพงๆ
มาใช้แล้วคืนเจ้าของ (อาจสึกหรอบ้างแต่ยังคงรูปมั้ง) ไม่ต้องแจ้งในบัญชีทรัพย์สิน
โดยดูที่ฐานะของผู้ให้ยืม “มากกว่าประเด็นใครเป็นผู้ใช้งานหรือครอบครองในทรัพย์สินนั้น”
ดังอิศรานิวส์สันนิษฐาน
ปปช.ให้เหตุผลว่า “ตามคำอธิบายการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินท้ายแบบบัญชีรายการหนี้สินล้วนหมายถึงหนี้สินที่เป็นเงินตราเท่านั้น
มิใช่เป็นการยืมใช้สอยได้เปล่าและมีการคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้ให้ยืม”
นั่นจะทำให้นักกฎหมายทั่วๆ ไปร้องฮ้อ
ยอมรับเป็นมาตรฐานใหม่หรือไม่ มันก็หลังเย็นเสียแล้ว
ดังที่อิศราเปรียบเทียบกับคดีรถโฟล์คในบ้านของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาตัดสินว่าผิด
เพราะ “ดูพฤติการณ์ในการซื้อ การครอบครอง
รวมถึงการใช้รถยนต์ด้วย ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวแม้มีชื่อนายเอนก (จงเสถียร
เจ้าของบริษัทเอ็มเอ็มพี) เป็นเจ้าของทะเบียนรถยนต์ แต่ในทางปฏิบัติ...เมียนายสุพจน์เป็นผู้ครอบครองและใช้งาน”
จะว่า
ปปช.ไม่ยักใช้หลักการผู้ครอบครองของให้ยืมมาพิจารณาแบบศาลอาญานักการเมือง เพราะ
พล.อ.ประวิตรใช้เอง (ไม่มีเมีย) แล้วเมียนายสุพจน์ก็ยังเอารถไปให้พระเทพปฏิภาณกวีใช้ ในกิจการเกี่ยวกับเด็กและศาสนาด้วย
เลยทำให้กล้อมแกล้มไปได้
(https://www.isranews.org/isranews-scoop/72380-report02-72380.html และ https://www.matichon.co.th/politics/news_2207988)
แต่ข้อน่าสังเกตุอย่างยิ่งว่า คดีนาฬิกาหรู
๒๒ เรือนที่
พล.อ.ประวิตรใช้และครอบครองในลักษณะทางนามธรรมเช่นเดียวกับที่ภรรยาของอดีตปลัดคมนาคมใช้กับรถโฟล์ค
ทำไม ปปช.พิจารณานาฬิกาหรูเป็น หนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน
เพื่อที่จะวินิจฉัยว่าคืนแล้ว
(ตามจำเลยอ้าง) จึงไม่เป็นหนี้ งั้นหรือ
ทั้งที่แท้จริงนาฬิกาเหล่านั้นก็คือทรัพย์สินที่เจ้าของให้มาใช้และครอบครองโดยเสน่หา
ต่อไปภายหน้าคงต้องจารึกว่า ปปช.ยุคนี้ก็คือ กระบวนการ ‘ปกป้องผู้บังคับบัญชา’ นั่นแล้ว