ท่าจะจริงดั่ง บก.ลายจุดว่า
“ไม่แปลกที่จะมองเห็นถังดับเพลิงเป็นถังแก๊ส
เพราะคนพวกนี้ยังมองเห็นเผด็จการเป็นประชาธิปไตยได้เลย” ในเมื่อความจริงแท้ๆ ที่ ‘ช่อ’ ตอบพีธีกรช่อง ‘เนชัวร์’
อ้างว่ามีภาพคนถือถังแก๊สเข้าไปเผาเซ็นทรัลเวิร์ลด์
คนที่ถูกข้อหานั้นต้องติดคุกอยู่สี่ปีกว่าคดีจะสิ้นสุด
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องตามศาลชั้นต้น เหตุว่าผู้ชายในภาพไม่ได้ถือถังแก๊ส
แต่เป็นถังดับเพลิง แค่นั้นเอง พรรณิการ์ วานิช จึงได้ถามกลับ วรเทพ สุวัฒนพิมพ์
“คุณวรเทพรู้จักผู้ชายคนนั้นมั้ยคะ” วรเทพสวนทันควัน
“คุณพรรณิการ์รู้จักเหรอครับ”
ตรงนี้แหละที่หน้าแตกเมื่อพรรณิการ์บรรยายความจริงให้ฟัง “เขาชื่อสายชล แพบัว
ถ้าคุณวรเทพจะทำการบ้านอีกสักนิด เข้าไปอ่านคำพิพากษานะคะ
สิ่งที่วรเทพบอกว่า “มีคนถือถังแก๊สจริงๆ
มีคนเข้าไปเผาจริงๆ” นั่นก็จะพบว่าศาลยกฟ้อง แต่วรเทพก็ยังไม่วายเสแสร้งแย่งพูดไม่หยุดว่าแกนนำ
นปช. “สถาปนาความจริงอีกด้าน” อันเป็นลักษณะที่ ข่าวสด บรรยายว่า “พิธีกรมีธงในการตั้งคำถาม”
พิธีกรคนนี้เคยขึ้นเวที กปปส. ที่สวนลุมฯ “ประกาศเป็นภาษาแต้จิ๋ว
ชักชวนไฮซ้อไฮซิ้มและ ‘ตึ่งหนั่งเกี้ย’ (唐人仔ลูกจีน) ออกมาร่วมชุมนุมให้หมด
เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณแผ่นดินไทยจากคนไทยเชื้อสายจีน” เมื่อ ๒๙ มีนา ๕๗
นักข่าวเก๋า สงวน คุ้มรุ่งโรจน์ บันทึกไว้
ความจริงนอกเหนือจากคำถามคำตอบระหว่างช่อกับผู้ประกาศเนชัวร์
‘ประชาไท’ รายงานเป็นข้อสังเกตุไว้ตั้งแต่ปลายมีนา
๒๕๕๖ ว่า “พยานยัน ‘สายชล’ ไม่ใช่คนในภาพที่ใช้ดำเนินคดี”
เพราะคนในภาพถือถังดับเพลิงนั่น “ไม่มีรอยสักที่แขน”
แต่เมื่อ รปภ.ยันว่าเห็นรอยสักจึงได้ดำเนินคดีกับสายชล
พร้อมกับ ‘พินิจ’
(คู่คดีอีกคน) ซึ่งเป็นเพียงผู้ที่ “หลบอยู่ในห้าง ไม่มีอาวุธ ไม่สามารถวางเพลิงได้”
แต่จำเลยทั้งสอง “ไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวในระหว่างการต่อสู้คดี โดยถูกคุมขังในเรือนจำ”
อีกทั้ง “ไม่มีการตรวจลายนิ้วมือแฝงของกลาง”
และ “จำเลยอ่านหนังสือไม่ออก ไม่มีทนายหรือญาติอยู่ตอนจับกุม”
ล้วนเป็นการเอาตัวไปคุมขังรอดำเนินคดีอยู่สี่ปี โดยปราศจากกระบวนการตามหลักนิติธรรม
หรือ ‘due process of law’
(https://prachatai.com/journal/2013/03/45923,
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_4149037 และ https://www.facebook.com/cnew.official/videos/239007450768477/)
แต่ว่าวรเทพหน้าแตกก็แค่นั้น
ทหารและรัฐบาลพลเรือนของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมด้วย สุเทพ เทือกสุบรรณ
ผู้อำนวยการ ศอฉ. ก็ยังไม่ต้องรับผิดชอบอะไร พรรค
ปชป.พยายามบิดเบี้ยวว่าทั้งม้าร์คและเทือกหลุดคดีไปแล้ว
แต่เป็นการทำคดีเพื่อการฟอกขาวให้แก่มือเปื้อนเลือด
ด้วยข้อมูลขาดตกบกพร่อง (แม้กระทั่งบางอย่างบิดเบือน) ของ คอป. ที่มี คณิต ณ นคร
เป็นผู้กำกับให้ใช้ปิดบังมลทินได้อย่างมุบมิบ
มองข้ามการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปอย่างหน้าไม่อาย
ดังที่ เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว
นักวิชาการด้านสิทธิมนุษยชนมหาวิทยาลัยมหิดลชี้ให้เห็นว่า อย่างน้อยที่สุด “การใช้อาวุธเข้าไปปราบปรามผู้ชุมนุม
มีการเข่นฆ่ากันด้วยการใช้สไนเปอร์” เช่นที่ช่อแจงตัวเลขให้วรเทพฟังแต่ทำเป็นไม่ได้ยิน
นั่นก็ชั่วช้าหนักหนาอยู่แล้ว
ยังมีการที่ฝักฝ่ายสนับสนุนเผด็จการ แต่แสร้งทำเป็นยึดมั่นประชาธิปไตยอย่างพรรคประชาธิปัตย์
“มองคนเสื้อแดงว่าไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ สมควรที่จะตายไป
หรือรู้สึกสมน้ำหน้าที่ถูกปราบปราม” นี่เป็นภาพแห่งล้มเหลวของคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ ในไทย
จากการที่ไม่มีผู้สั่งการและผู้ปฏิบัติการเข่นฆ่านี้แม้แต่คนเดียวต้องรับผิด
จนเกิดระบบ ‘ลอยนวลพ้นผิด’ ได้ ตราบที่ยึดอำนาจไว้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ผู้เสียหายจริงๆ
คือประชาชนส่วนหนึ่งที่ถูกปราบปรามถึงชีวิต กลับถูกชี้หน้าว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
วาทกรรมเหยียดหยามแม้กระทั่งข้อหา
‘เผาบ้านเผาเมือง’ ก็ยังขุดขึ้นมาใช้โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงใดๆ
แบบที่วรเทพเนชัวร์พยายามทำ ถึงขั้นย่ามใจหมายจะลากช่อไปเถือเนื้อให้กากิน แม้ว่าความรุ่มร่ามทำให้ตัวเองโดนถองกลับหน้าเละ
ท้ายที่สุดแล้ววัฏจักรของการที่ผู้ยึดอำนาจและพวกพ้องมักพ้นผิดตลอดไป
ยังปรากฏอยู่ในสังคมไทยอย่างเด่นชัดแม้กระทั่งใน พ.ศ.นี้ ตามที่เบญจนรัตน์ว่า
เราจะยอมให้มีการสมอ้างสวมหัวประชาธิปไตยให้แก่เผด็จการ เช่นที่ สมบัติ
บุญงามอนงค์ สัพยอก อีกต่อไปนานเท่าไรกัน