#การเรียนการสอนในฤดูโควิดที่ญี่ปุ่นไม่สอนออนไลน์
ซายูริ ซากาโมโตะ
รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
*****
“ปีนี้เป็นปีแรกที่หนูขึ้นชั้นมัธยมปีที่ ๑
ซึ่งตรงกับช่วงที่โรคโคโรน่าระบาด
ทำให้ต้องหยุดอยู่บ้าน
หนูยังไม่มีโอกาสได้เดินสำรวจโรงเรียนใหม่
เลยสักครั้ง
ได้ไปวันรับหนังสือเรียนไม่ถึงสิบนาที
เพื่อนำหนังสือมาเรียนเองที่บ้าน
ที่นี้ไม่มีการเรียนการสอนทางอินเทอร์เน็ตค่ะ
แต่ให้เราอ่านหนังสือเรียนเอง
ตามตารางเวลาที่โรงเรียนจัดไว้ให้
ถ้าเราไม่เข้าใจ ให้ค้นหาจากในหนังสือ
หากเจอคันจิญี่ปุ่นที่ยากๆ
ที่เราไม่เคยเรียนตอนประถม
เราก็ค้นหาความหมายในพจนานุกรมภาษาญี่ปุ่น
หากไม่เข้าใจอะไรก็สอบถามพ่อแม่
และเมื่อทำการบ้านเสร็จก็ให้พ่อแม่ตรวจ
และนำไปส่งคุณครูตามวันที่ทางโรงเรียนนัด
โรงเรียนนัดเด็กแต่ละคน คนละเวลา
และให้ส่งการบ้านที่ตรงโรงยิม
ที่อยู่ติดประตูโรงเรียน
เมื่อส่งเสร็จก็รับการบ้านใหม่มา
และต้องนำไปส่งใหม่อีกครั้ง
วันที่ ๑ มิถุนายน”
#เด็กสมุดบันทึก
#วิธีสมุดบันทึก
#สำนักพิมพ์ผีเสื้อเด็กๆ
#บันทึกส่วนตัวซายูริ รางวัลหนังสือดีเด่น ๒๕๕๙
...
"ครูจุ๊ย กุลธิดา" เสนอ 6 ระยะ-มาตรการเตรียมพร้อมเปิดเทอม จี้รัฐบาลทำงานอย่างมีประสิทธิภาพร่วมโรงเรียน-ชุมชน อย่าคิดแต่จะทำแพลตฟอร์มออนไลน์
20 พ.ค. 2563 วันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์คณะก้าวหน้า เผยแพร่บทความ "โรงเรียนพร้อมเปิดเรียนเมื่อไหร่ ?" ของ กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ อดีตรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และหนึ่งในคณะทำงานนโยบายปฏิวัติการศึกษา โดยบทความดังกล่าวระบุถึงมาตรการเตรียมความพร้อมของโรงเรียนต่างๆ สำหรับการเปิดเทอมหลังสถานการณ์โควิด-19 โดยแบ่งเป็นช่วงเวลาและมาตรการ ได้แก่
1.เมื่อก่อนเปิดเทอม ครูและเด็กๆ ที่จะต้องมาโรงเรียนควรอยู่บ้านก่อนอย่างน้อย 7-14 วัน รวมถึงทำแบบสอบถามถึงคนในครอบครัวว่า อยู่กับบุคคลกลุ่มเสี่ยงหรือไม่
2.เมื่อโรงเรียนพร้อมในแง่สถานที่ ต้องมีการทำความสะอาดสถานที่ เตรียมอ่างล้างมือมีสบู่ให้แก่นักเรียนและบุคลากร จัดพื้นที่แบ่งระยะห่างเพื่อรองรับนักเรียน จัดโต๊ะนักเรียนใหม่
3.เมื่อโรงเรียนมีมาตรการรักษาระยะห่างและความสะอาดที่ชัดเจน การมาโรงเรียนนักเรียนต้องสวมผ้าปิดปาก ล้างมือทุก 1-2 ชั่วโมง เก็บของเล่นชิ้นเล็กที่เด็กเล็กอาจจับเล่นหรือเอาเข้าปาก เตรียมน้ำยาเช็ดพื้นผิวให้เด็กๆ ช่วยทำความสะอาดพื้นผิวที่ใช้ร่วมกัน เช่น ลูกบิดประตู เตรียมการเล่นนอกอาคาร เช่น การปั่นจักรยานบนลู่ การเล่นผ่านอุปสรรคต่างๆ ที่ต้องเล่นทีละคน รวมถึงไม่ควรมีการรับประทานอาหารร่วมกันที่โรงเรียน ควรอุดหนุนเงินให้นักเรียนเตรียมอาหารมาจากบ้าน หรือโรงเรียนปรุงให้แต่นักเรียนเตรียมภาชนะมาจากบ้าน
กุลธิดา ระบุอีกว่า 4. เมื่อโรงเรียนมีแผนการให้ความรู้กับเด็กๆ และเตรียมใช้แผนนั้นมาล่วงหน้าก่อนที่นักเรียนจะกลับเข้าโรงเรียน ควรมีการให้ความรู้ผู้ปกครอง ฝึกเรื่องการล้างมือที่ถูกต้องจากที่บ้าน บอกนักเรียนเรื่องมาตรการการล้างมือที่โรงเรียน การใส่หน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ การงดแตะต้องตัวเพื่อน
กุลธิดา ระบุอีกว่า 4. เมื่อโรงเรียนมีแผนการให้ความรู้กับเด็กๆ และเตรียมใช้แผนนั้นมาล่วงหน้าก่อนที่นักเรียนจะกลับเข้าโรงเรียน ควรมีการให้ความรู้ผู้ปกครอง ฝึกเรื่องการล้างมือที่ถูกต้องจากที่บ้าน บอกนักเรียนเรื่องมาตรการการล้างมือที่โรงเรียน การใส่หน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ การงดแตะต้องตัวเพื่อน
5. เมื่อโรงเรียนมีมาตรการรับมือหากเกิดผู้ติดเชื้อโควิด บุคลากรทุกคนรวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองต้องทราบถึงขั้นตอนการดำเนินการ หากพบผู้ติดเชื้อโควิดในโรงเรียน มีการซักซ้อมทำความเข้าใจช่วงโรงเรียนปิด และ
6. เมื่อโรงเรียนมีมาตรการรับมือโรคประจำฤดูกาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูฝน ซึ่งเมื่อไข้หวัดมา โควิด-19 จะทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้นไปอีก โรงเรียนจึงควรมีมาตรการรับมือโรคประจำฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็น มือ เท้าปาก โรคไข้เลือดออก ทำการฉีดพ่นฆ่าลูกน้ำยุงลาย โรคไข้หวัดสายพันธุ์ต่างๆ มาตรการเหล่านี้ควรชัดเจน และสื่อสารให้ผู้ปกครองเข้าใจ ก่อนเข้าช่วงโรคประจำฤดูกาลระบาดอีกครั้ง
กุลธิดา ระบุว่า ทั้ง 6 ข้อนี้ คือ สิ่งที่เป็นข้อเสนอเกี่ยวกับมาตรการที่พอจะทำให้โรงเรียนเปิดได้บ้างในช่วงระบาดโควิด แต่ที่สำคัญ คือ โรงเรียนทำคนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยทั้งงบประมาณ บุคลากร นักเรียน ผู้ปกครอง คนในชุมชน การช่วยกันรักรักษาความสะอาดและระยะห่างเบื้องต้น ถือเป็นข้อตกลงความรับผิดชอบร่วมกันในห้วงเวลาเช่นนี้ ต้องเตรียมงบประมาณ เตรียมแผนให้บุคลากรทำงานได้ เตรียมการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สื่อสารซ้ำๆ ฝึกฝน ซักซ้อมจนเกิดความเข้าใจ และสร้างเป็นนิสัย ต้องหาภาคีช่วยเหลือโรงเรียน เช่น อสม. ผู้ใหญ่บ้านต้องจับมือโรงเรียน ข่วยกันออกแบบ ประเมิน และตรวจสอบมาตรการเหล่านี้ และอาจไม่ใช่ทุกโรงเรียน และทุกวัน ที่เด็กจะได้กลับไปเรียน แต่ควรไล่จากเด็กกลุ่มที่มีความจำเป็นมากและไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง ไม่ได้อยู่กับกลุ่มเสี่ยงก่อน ซึ่งท้าทายมาก เพราะเด็กหลักล้านคนอยู่ในครอบครัวที่มีเฉพาะปู่ ย่า ตา ยาย มิพักต้องนึกถึงกลุ่มเด็กที่อยู่กับพ่อแม่ ไม่มีปู่ย่าตายายและพ่อแม่ต้องออกไปทำงาน จะทิ้งลูกไว้กับทีวีก็พะวงหน้าพะวงหลัง ไม่ทิ้งลูกไว้ก็ไม่มีรายได้
"ดังนั้น รัฐต้องมีประสิทธิภาพ วางแผนให้ครอบคลุม เตรียมแผนเปิดเรียนหลายๆ แบบไว้ รองรับบริบทที่แตกต่างไป แต่ก่อนอื่นรัฐต้องมีธงว่าเด็กจะต้องได้กลับไปใช้ชีวิตในโรงเรียนได้ผ่านการสนับสนุนของรัฐ เพราะเป็นหน้าที่เสียก่อน อย่าเพิ่งทำแต่แพลตฟอร์มออนไลน์ และ DLTV จนลืมไปว่า เด็กๆ จำนวนมากไม่สะดวกจะใช้อุปกรณ์ใดๆ ในการเรียนด้วยข้อจำกัดหลายประการ" กุลธิดา ระบุ
อนึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงศึกษาธิการได้จัดการศึกษาทางไกล และออนไลน์ ให้นักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผ่าน 6 ช่องทางการรับชม คือ ทีวีดิจิทัล ช่อง 37-51, ทีวีดาวเทียม Ku-Band ช่อง 186-200, ทีวีดาวเทียม C-Band ช่อง 337-351, เว็บไซต์ www.dltv.ac.th, แอปพลิเคชัน DLTV ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ และ Youtube ช่อง DLTV1 ถึง DLTV15 ทั้งนี้ เป็นการเรียนการสอนก่อนที่จะมีการเปิดภาคเรียนจริง แต่ได้พบเสียงสะท้อนทั้งเรื่องระบบล่ม จนถึงอุปกรณ์ในการรับชมมีไม่เพียงพอในครอบครัวที่มีลูกหลายคน หรือครอบครัวที่ยากจน
https://prachatai.com/journal/2020/05/87733
กุลธิดา ระบุว่า ทั้ง 6 ข้อนี้ คือ สิ่งที่เป็นข้อเสนอเกี่ยวกับมาตรการที่พอจะทำให้โรงเรียนเปิดได้บ้างในช่วงระบาดโควิด แต่ที่สำคัญ คือ โรงเรียนทำคนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยทั้งงบประมาณ บุคลากร นักเรียน ผู้ปกครอง คนในชุมชน การช่วยกันรักรักษาความสะอาดและระยะห่างเบื้องต้น ถือเป็นข้อตกลงความรับผิดชอบร่วมกันในห้วงเวลาเช่นนี้ ต้องเตรียมงบประมาณ เตรียมแผนให้บุคลากรทำงานได้ เตรียมการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สื่อสารซ้ำๆ ฝึกฝน ซักซ้อมจนเกิดความเข้าใจ และสร้างเป็นนิสัย ต้องหาภาคีช่วยเหลือโรงเรียน เช่น อสม. ผู้ใหญ่บ้านต้องจับมือโรงเรียน ข่วยกันออกแบบ ประเมิน และตรวจสอบมาตรการเหล่านี้ และอาจไม่ใช่ทุกโรงเรียน และทุกวัน ที่เด็กจะได้กลับไปเรียน แต่ควรไล่จากเด็กกลุ่มที่มีความจำเป็นมากและไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง ไม่ได้อยู่กับกลุ่มเสี่ยงก่อน ซึ่งท้าทายมาก เพราะเด็กหลักล้านคนอยู่ในครอบครัวที่มีเฉพาะปู่ ย่า ตา ยาย มิพักต้องนึกถึงกลุ่มเด็กที่อยู่กับพ่อแม่ ไม่มีปู่ย่าตายายและพ่อแม่ต้องออกไปทำงาน จะทิ้งลูกไว้กับทีวีก็พะวงหน้าพะวงหลัง ไม่ทิ้งลูกไว้ก็ไม่มีรายได้
"ดังนั้น รัฐต้องมีประสิทธิภาพ วางแผนให้ครอบคลุม เตรียมแผนเปิดเรียนหลายๆ แบบไว้ รองรับบริบทที่แตกต่างไป แต่ก่อนอื่นรัฐต้องมีธงว่าเด็กจะต้องได้กลับไปใช้ชีวิตในโรงเรียนได้ผ่านการสนับสนุนของรัฐ เพราะเป็นหน้าที่เสียก่อน อย่าเพิ่งทำแต่แพลตฟอร์มออนไลน์ และ DLTV จนลืมไปว่า เด็กๆ จำนวนมากไม่สะดวกจะใช้อุปกรณ์ใดๆ ในการเรียนด้วยข้อจำกัดหลายประการ" กุลธิดา ระบุ
อนึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงศึกษาธิการได้จัดการศึกษาทางไกล และออนไลน์ ให้นักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผ่าน 6 ช่องทางการรับชม คือ ทีวีดิจิทัล ช่อง 37-51, ทีวีดาวเทียม Ku-Band ช่อง 186-200, ทีวีดาวเทียม C-Band ช่อง 337-351, เว็บไซต์ www.dltv.ac.th, แอปพลิเคชัน DLTV ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ และ Youtube ช่อง DLTV1 ถึง DLTV15 ทั้งนี้ เป็นการเรียนการสอนก่อนที่จะมีการเปิดภาคเรียนจริง แต่ได้พบเสียงสะท้อนทั้งเรื่องระบบล่ม จนถึงอุปกรณ์ในการรับชมมีไม่เพียงพอในครอบครัวที่มีลูกหลายคน หรือครอบครัวที่ยากจน
https://prachatai.com/journal/2020/05/87733