วันอาทิตย์, สิงหาคม 05, 2561

โพลขาลง ตู่ คสช. แจกความเซ็งให้ประชากร 'ถ้วนหน้า' กัน


กรุงเทพโพลมาแปลก วานนี้ให้คะแนนผลงานรัฐบาลประยุทธ์ ต่ำ ทุกด้าน ค่าเฉลี่ยอยู่แค่ ๕ จาก ๑๐ เท่านั้น ลดจากที่เคยได้ตั้ง ๘๐-๙๐ เปอร์เซ็นต์เหลือครึ่งเดียว

โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ติดเพียง ๓.๖ ปัดเศษให้แล้วได้เพียง ๔๐ เปอร์เซ็นต์ ทำงี้ได้ไง ถ้าเป็น ๖๐-๗๐ ก็ว่าไปอย่าง เดี๋ยวต้องเช็คบิลเสียละมัง

แน่ละ โพลเหล่านี้มีขึ้นมีลง มันจะสูงปรี๊ดเมื่อมี คุณขอมาแต่จะหลุดบ้างเวลาเธอเผลอ ไม่อย่างนั้นก็ทักษิณซื้อไปแล้ว เอางี้ ไปพิสูจน์กันเองกันที่ https://www.khaosod.co.th/politics/news_1404373 นี่วันหยุดขี้เกียจคุ้ย

เดี๋ยวโฆษกห่านอู (กันลืม ห่าน นั้นใหญ่กว่า ไก่) ต้องออกมาแจง เศรษฐกิจมหภาคยุค คสช.ไปโลดนะ วันก่อนธนาคารโลกเปิดดัชนีการจัดเตรียมการด้านมูลภัณฑ์ หรือ ‘logistics’ ในรอบสองปี ปรากฏว่าไทยขยับจากอันดับ ๔๕ มาเป็น ๓๒ แล้วละ

อย่าเพิ่งไปดูว่าคะแนนที่ได้ ๓.๔๑ ใน ๕ เพิ่มจากเมื่อปี ๒๕๕๙ จิ๊บจ้อย ตอนนั้นแค่ ๓.๒๖ ต้องดูที่ตำแหน่งในอาเซียนเป็นรองแค่สิงคโปร์ เหนือกว่ามาเลเซียสองขุม ทั้งนี้เพราะประเทศไทย ทุ่ม งบประมาณเอาไปลงในโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคอย่างมหาศาล

มาเลเซียเขาคงขี้เหนียวมั้งถึงแพ้ไทย แต่รัฐบาลทหารของทั่นประยุทธ์ใจกล้าบ้าบิ่น (คิดจะ) สร้างดะ ท่าเรือน้ำลึก รถไฟความเร็วสูง ฯลฯ อ้อ แล้ว รมว.กอบศักดิ์ ภูตระกูล คุยเพิ่มว่า มีการปฏิรูปด้านระเบียบปฏิบัติและกฎหมายยกใหญ่ด้วย (แบบจัดระเบียบสื่อให้คำนับนายกฯ ก่อนถ่ายภาพ ไง)

 
ฉะนั้นตำแหน่งที่ได้เลื่อนขั้น นั้นเพียงคะแนนความตั้งใจ ใครอยากลงรายละเอียด ตามลิ้งค์ข้างต้น แต่ตรงนี้มาทำความเข้าใจในภาพรวมกันหน่อยว่า ไอ้การทุ่มเงินลงไปมากๆ เพื่อสร้างองค์ประกอบพื้นฐานของการพัฒนา ตามทฤษฎีถือเป็นการจัดเตรียมที่ดี

นอกจากจะหวังผลความเจริญที่ตามมาได้แล้ว ยังสร้างความมั่นใจทางธุรกิจ กระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวซื้อขาย มีการหมุนเวียนของการเงิน ไม่ซังกะตาย เศรษฐกิจระดับชาวบ้านก็จะกระชุ่มกระชวยขึ้น

ข้อสำคัญมีอยู่ว่าทั่นบุญทุ่มสามารถบริหารให้เงินที่ลงไปก่อความงอกงาม ให้ผลลัพท์สนองกลับได้ดีและว่องไวเพียงใด ถ้าดันทุรังทุ่มมาตลอดสี่ปีแล้วบอกให้รอดูผลดีอีก ๕ ปีข้างหน้า อย่างนี้ต้อง เอ๊ะ ขอตั้งคำถาม ขอตรวจสอบหน่อยได้ไหม

ปัญหาอยู่ที่มันทำอย่างนั้นไม่ได้ไง บิ๊กตู่และพวกพ้อง คสช.ของทั่นไม่ยอม อ้างแต่ว่าผมมาดี ตั้งใจปราบยุคเข็ย แล้วขอคิดแทนประชาชนต่อไปอีกสัก ๒๐ ปี ใครไม่เชื่อ ออกมาค้านโดนจับปักชนักติดหลังคดีความมั่นคงชนิดติดคุกหัวโต

มาดูของจริงกันดีกว่า เอาตัวอย่างเดียวก่อน เรื่องรถไฟความเร็วสูง ที่วางแผนไว้หลายสาย กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพ-โคราช แล้วยังที่จะวิ่งเชื่อมต่อ ๓ สนามบินนานาชาติ โลจิสติคส์ขนาดยักษ์ทั้งนั้น สายโคราชเริ่มแล้ว จ้างจีนแถมสัมปานทุกอย่างสองข้างทาง ขอลงมือสร้างแค่เกือบสี่กิโลให้ดูก่อนเป็นขวัญตา
 
มันน่าห่วงว่างบประมาณที่ สนช. สภาลิ่วล้อ คสช. ตีเช็คเปล่าไว้ให้ทีมประชารัฐถลุงเป็นแสนล้านนั้นจะละลายหายไปกับน้ำล้นเขื่อนที่แถบอีสานกำลังจะอ่วม และแถวเพชรบุรีกำลังจะกระอัก เพราะนอกจากรถไฟจีนราคาแพงหูฉี่ แล้วสายอื่นๆ ทำทีจะบ้อท่า

เอาข้อมูลจากที่ ลมเปลี่ยนทิศ ไทยรัฐขุดมาแฉ “รถไฟความเร็วสูงไทย-ญี่ปุ่น กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ฉลองสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น ๑๓๐ ปี ที่ตั้งไข่มาตั้งแต่ปี ๒๕๕๘...ญี่ปุ่นยังไม่ยืนยันว่าจะเข้าร่วมลงทุนหรือไม่ ระบุแต่เพียงว่า ขอเป็นส่วนช่วยในการจัดทำแผนเท่านั้น

เนื่องเพราะญี่ปุ่นเห็นว่าทุ่มยังไงก็ไม่มีทางคุ้มทุน รวบรัดข้อมูลให้กระชับได้ว่า ถ้าจะคุ้มทุนต้องมีผู้โดยสารวันละ ๓ หมื่น ให้มีกำไรต้องเพิ่มผู้โดยสารเป็นวันละ ๕ หมื่น แต่เท่าที่ศึกษามาสองสามปี อย่างดีเส้นทางนี้จะมีผู้โดยสารเพียงหมื่นเดียว หรือถ้าวิเศษสุดแค่สองหมื่น

นั่นขนาดรัฐบาลประยุทธ์ขอต่อรองลดความเร็วจาก ๒๕๐ กิโลต่อชั่วโมงลงเหลือแค่ขนาด ปานกลาง แบบจีน ที่ ๑๘๐ กม./ชม. หรือดันขึ้นไปอย่างสูงที่ ๒๒๐ แล้วนะ ลงเอยเวลานี้อยู่ที่เฮียตูบตัดสินใจ จะทุ่มต่อไปทำห่ไรไหม

มาถึงโครงการรถไฟเร็วสูงเชื่อม ๓ ท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา ที่ทั่นรองฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คุยนักคุยหนา จะเป็น ‘flagship’ ธงชัยไทยนิยมยั่งยืนให้แก่ คสช. เพราะทำให้ดครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก หรือ อีอีซีครบวงจร

ปรากฏว่าคำนวณกันแล้ว งานนี้ ขาดทุน อีกแหงๆ ในเมื่อวงเงินลงทุน ๒ แสน ๒ หมื่นล้าน รัฐบาลจ่ายค่างานโยธาและวางรางให้ ๑ แสน ๑ หมื่น ๓ พันล้านบาท ที่เหลือเอกชนร่วมทุน เส้นทาง ๒๒๐ กม. แต่กำหนดแวะจอด ๑๐ สถานี

ลมเปลี่ยนทิศบอก “แต่วิ่งด้วยความเร็ว ๒๕๐ กม.ต่อชั่วโมง ไม่รู้จะได้วิ่งในช่วงไหน แค่ออกรถไม่กี่นาทีก็ต้องจอดแล้ว รัฐบาลใช้เงินลงทุนเว่อร์ไปหรือเปล่า


โบราณว่า รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ ให้ระวัง รถไฟทำท่าจะพัง เรือเมล์กำลังเจอน้ำล้นเขื่อน ลิเกก็ประยุทธ์นี่ละยังเจื้อยแจ้วอยู่ ตำรวจต้องศรีวราห์ จากเสือดำถึงถ้ำหลวง ตอนนี้เงียบไปนิด จึงต้องหันไประวังเรื่องน้ำก่อน
 
วานนี้ (๔ ส.ค.) เลขาฯ สำนักทรัพยากรน้ำพูดน่ากลัว “คาดว่าน้ำจะเต็มเขื่อนแก่งกระจานในอีกประมาณ ๑๐ ชั่วโมงข้างหน้า จากนั้นน้ำส่วนเกินที่ล้นสปิเวย์ ประมาณ ๓๐๐ ลูกบาศก์ (ลบ.ม.) ต่อวินาที จะลงมายังเขื่อนเพชรบุรีใน ๑๐ ช.ม. ต่อมา และเข้าตัวเมืองเพชรบุรีประมาณเที่ยงวันจันทร์ที่ สิงหาคม

ซ้ำร้ายในช่วงสองสามวันต่อไปนี้ (จนถึง ๘ ส.ค.) จะมี “ฝนตกเพิ่มขึ้นบริเวณชายขอบประเทศภาคตะวันตก และ ภาคอีสาน เนื่องจากเป็นแนวปะทะของฝน โดยจะตกมากในภาคตะวันตก และมีน้ำไหลเข้าเขื่อน เขื่อนมากขึ้น คือ ศรีนครินทร์ วชิราลงกรณ แก่งกระจาน และปราณบุรี

ทำให้จะต้องมีการระบายน้ำออกจากเขื่อนสู่ผืนนาไร่และย่านอยู่อาศัยชาวบ้าน ระดับน้ำในแม่น้ำเพชรบุรีจะสูงขึ้นอีกเกือบ ๓ เมตรถึงกว่า ๔ เมตร “พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ คือ พื้นที่ลุ่มต่ำริมคลองท่าแร้ง ต.ท่าแร้ง ต.ท่าแร้งออก ต.บ้านแหลม ต.บางขุนไทร อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี

(ข่าว ทีนิวส์ ปูดเองนะนี่ http://www.tnews.co.th/contents/474840)

นั่นแค่เบื้องต้นสำหรับลุ่มน้ำภาคตะวันตก แต่ที่อีสานเห็นว่ากำลังอ่วมกันแล้ว “พื้นที่ติดกับลำน้ำอูน อ.นาหว้า อ.โพนสวรรค์, ลำน้ำสงคราม อ.ศรีสงคราม รับผลกระทบจากปัญหาน้ำโขงหนุนสูงเช่นกัน น้ำท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร เสียหายแล้ว ๕๐,๐๐๐ ไร่”
 
นั่นฝ่าย พีพีทีวี โอดไว้ก่อนหน้า https://www.pptvhd36.com/news/86634

ระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่ไหลผ่าน จ.นครพนม ยังคงน่าเป็นห่วง ขณะเดียวกันมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำในลำน้ำสาขาไหลระบายลงแม่น้ำโขงไม่ทัน จนเอ่อท่วมพื้นที่ริมตลิ่งและทำให้พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายเป็นบริเวณกว้าง”

เอาข่าวสองแหล่งมาเทียบกันนี่ไม่ใช่อะไร รู้สึกว่าภัยภิบัติในยุค คสช. นี่ก็ คืนความเซ็งให้แก่ประชากรทั้งสองฟากเหมือนกัน ถ้วนหน้า