เด็กนักเรียนพร้อมกันลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องประชุมรัฐสภา
เมื่อบิ๊กตูบเริ่มแถลงชี้แจงงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๑ ซึ่ง สนช. ยกมือให้ผ่านท่วมท้น
๒๑๖ เสียง เป็นวงเงินเกือบ ๓ ล้านล้านบาท
ข่าว ‘สยามดราม่า’
เมื่อสองสามวันก่อนสาธยายว่าทำให้นายกฯ หยุดแถลงทันควัน หันมาต่อว่าเด็ก “ลุกขึ้นไปแล้ว
ไม่ทันได้ฟัง เหมือนกับวันศุกรเปิดฟังแป๊บเดียว ที่พูดนี่ ทำนี่
ทำเพื่อท่านทั้งนั้นรู้หรือไม่”
อย่างนี้นี่เอง มิน่า เด็กเขาถึงพากันลุกหนี
ไม่อยากฟังลุงตูบจารไนเรื่องสร้างพันธะผูกพันหนี้สิน
งบประมาณติดลบไว้ให้พวกเขาต้องเป็นภาระในอนาคตข้างหน้า
โดยเฉพาะงบประมาณด้านการทหาร ตามตัวเลขของสำนักข่าวอิศรา
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ จาก ๑.๙ แสนล้านไปเป็น ๒ แสนล้านในปี ๕๙ มาถึงปีนี้
๖๐ เพิ่มอีกเป็น ๒.๑ แสนล้าน แล้วไปยันที่ ๒.๒๒ แสนล้าน สำหรับปี ๒๕๖๑
มิหนำซ้ำงบประมาณสำหรับสถาบันกษัตริย์ ตามที่ Somsak Jeamteerasakul แสดงความเห็นทักท้วงรายงานข่าวรอยเตอร์และบีบีซีไทย
ว่าแท้จริงเพิ่มขึ้นจากเมื่อปีกลาย ๒๗.๘ เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ลดลง ๑๔
เปอร์เซ็นต์อย่างที่ บีบีซีไทยรายงาน
(ข่าวรอยเตอร์ http://www.reuters.com/article/us-thailand-king-idUSKBN18Z17A บีบีซีไทย http://www.bbc.com/thai/thailand-40212890?ocid=socialflow_facebook)
ทั้งนี้เนื่องจากงบประมาณ ‘ราชการในพระองค์’
สำหรับปี ๒๕๖๑ มีจำนวน ๔,๑๙๖,๓๒๓,๕๐๐ บาท (๔.๑ พันล้าน) ซึ่ง สศจ.
คะเนว่าบีบีไทยคงนำงบประมาณเมื่อปีที่แล้วของ ๕ หน่วยงานสถาบันกษัตริย์ คือสำนักราชเลขาธิการ
สำนักพระราชวัง กรมราชองครักษ์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์
และสำนักงานตำรวจราชสำนักประจำ รวมกันราว ๕.๐๓๖ พันล้าน มาคำนวณเปรียบเทียบ
ทำให้เห็นเป็นว่ามีอัตราลดลง
แท้จริงราชการในพระองค์หมายถึงเพียงสองหน่วยงาน
คือสำนักราชเลขาฯ กับสำนักพระราชวัง
แต่ยังมีอีกสามหน่วยงานที่เพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงเข้ามารวมในสังกัดภายใต้บังคับบัญชาโดยตรงของพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน
ที่แต่เดิมกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล อาทิ กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เป็นต้น
อันจะทำให้งบประมาณสำหรับพระมหากษัตริย์ในปี ๒๕๖๑ ควรจะเป็น
๔.๑ +
๒.๘ (กลาโหม) + .๑๗๔ พันล้าน รวมทั้งสิ้น ๗.๒
พันล้านอย่างน้อย (สศจ. กล่าวว่ายังมีวงเงินส่งเสริมสถาบันกษัตริย์ที่จัดสรรให้กระทรวงทบวงกรมอื่นๆ
อีกราวพันล้าน)
จึงสรุปว่างบประมาณปีหน้าที่ขาดดุลราว ๔.๕ แสนล้าน (https://www.thairath.co.th/content/834733) เป็นงบที่เพิ่มให้ทั้งการทหารและสถาบันกษัตริย์เป็นจำนวนมากพอดูทีเดียว
ประการสำคัญรัฐบาล คสช.
ซึ่งจะยังครองอำนาจต่อไปอีกอย่างน้อยๆ ปีกว่าถึงสองปี ก่อนจะมีการเลือกตั้งตามโร้ดแม็พของการยึดอำนาจ
เท่าที่ปรากฏยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีปัญญาหาเงินมาทดแทนรายจ่ายที่กำหนดไว้เกินกำลังได้
รมว. คลังเพิ่งออกมาไขสือเมื่อวาน (๑๑ มิ.ย.) “ได้สั่งการให้กรมศุลกากรและกรมสรรพากรดำเนินการหามาตรการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพ” หลังจากสองหน่วยงานที่เป็นหลักสำคัญในการหารายได้เข้ารัฐนี้ “จัดเก็บรายได้จากภาษีในช่วง ๘ เดือนแรก (ของปีนี้)...ต่ำกว่าเป้าหมาย”
ศุลกากรนั่นจัดเก็บพลาดเป้าไปถึง ๑๓,๐๐๐ ล้านบาท นายกุลิศ
สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากรพยายามชี้แจงถึงปัญหาโน่นนี่ เสียเอฟทีเอ
๔ พันล้านบ้าง ปรับโครงสร้างภาษีแล้วขาดทุนอีก ๔ พันล้านบ้าง
มิหนำซ้ำผู้ประกอบการรถยนต์ใช้วิธีนำไปประกอบที่อื่นแล้วค่อยนำกลับเข้าไทย
ทำให้กรมศุลกากรขาดรายได้ไปอีก ๒ พันล้านบ้าง ล้วนคนอื่นทำให้เกิดทั้งนั้น
ไม่เคยคิดจะทำเองสักนิด
ด้านกรมสรรพากรก็เช่นกัน นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอ้างว่า “มาตรการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มยังไม่ใช่แนวทางที่จะทำให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐเพิ่มขึ้นได้ในขณะนี้”
คงจำกันได้เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง
ทั้งคลังทั้งเถ้าแก่เนี้ยบิ๊กตูบ ล้วนเกิดไอเดียบรรเจิด เสนอให้เพิ่มอัตราภาษี VAT เป็น
๑๐ เปอร์เซ็นต์บ้าง อย่างน้อยขออีก ๑ เปอร์เซ็นต์ก็ยังดี “ขอแค่นี้ไม่ได้เหรอ” ประชาชนงี้หน้าม้าน
พอตอนนี้สรรพากรเก็บภาษีได้ต่ำกว่าคาดหมายถึง ๔ หมื่นล้านบาท
จะหันไปไล่เบี้ยเอากับผู้ประกอบการออนไลน์อีกแล้ว “กรมสรรพากรจะเสนอแนวทางมาให้กระทรวงฯพิจารณาในสิ้นเดือนนี้
ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
และเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อไป
เพื่อให้ผู้ประกอบการออนไลน์รายย่อยของไทยเข้าสู่ระบบชำระภาษีที่ถูกต้องตามกฏหมาย”
ต้องเข้าใจไว้ด้วยในที่นี้นะว่า “ถูกต้องตามกฎหมาย”
มิได้หมายความได้เลยว่า ‘มีความเป็นธรรม’ เสมอไป
ในยุค คสช. นี่เขาไม่เอาสองหลักการนี้มาผสานกันอยู่แล้ว
สูตรสำเร็จเผด็จการยึดอำนาจ ‘กฎหมาย’ กับ ‘เป็นธรรม’
เหมือนน้ำกับปลา ต้องแยกกัน การครอบครองจึงจะสำฤทธิ์ผล
ด้วยเหตุนี้ คสช. และลิ่วล้อจึงพยายามพูดนักพูดหนาว่าต้องกำจัด
‘ระบอบทักษิณ’ เสียก่อนอื่นใด พูดบ่อยๆ
จนไม่เพียงคนที่โดนกรอกหูเคลิ้มว่าเป็นจริงเท่านั้น คนพูดนั่นเองก็หลงใหลไปด้วยเหมือนกันว่าตนพูดความจริง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระบอบทักษิณเป็นอย่างไร ต้องให้ วัฒนา
เมืองสุข แห่งพรรคเพื่อไทยอธิบาย เก็บจากที่เขาเขียนไว้บนเฟชบุ๊คเมื่อวานมาเล่าต่อ
ได้สามคำกระชับแม่นมั่น “ลดรายจ่าย
เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส”
อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ให้ตัวอย่างว่า “ลดรายจ่ายคือ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค ส่วน OTOP และกองทุนหมู่บ้าน
คือการเพิ่มรายได้และการขยายโอกาสให้ประชาชน”
เขายังบอกอีกว่า “การทำลายระบอบทักษิณไม่ต้องไปสุมหัววางแผนทำเรื่องที่น่าอับอาย...เพียงทำให้ประเทศเจริญประชาชนอยู่ดีกินดีมากกว่าที่ทักษิณเคยทำไว้คนก็จะลืมทักษิณเอง”
ไหมล่ะ
ทักษิณหายไปเป็นสิบปี มีโฟนอินบ้างเป็นครั้งคราวกับพวกวงในและแฟนคลับของเขา
เดี๋ยวนี้ไฉนยังพูดถึงทักษิณกันแซ่ด