ขออนุญาตแลกเปลี่ยนกับ อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ผมเห็นบางคนโควทคำพูดของ อ.เสกสรรค์ข้างล่างนี้มา จั่วหัวว่า "อ.เสกสรรค์ตีแสกหน้านักวิชาการ" ลองอ่านก่อนครับ
" ระบบเฟซบุ๊กก่อให้เกิดสภาพหนึ่งคนเป็นหนึ่งสำนัก และเมื่อเกิดหลายสำนักสิ่งที่หายไปคือสำนึก โดยเฉพาะสำนึกเรื่ององค์รวม หลายท่านให้ความสำคัญกับเสรีภาพส่วนตัวในการแสดงความคิดเห็นมากกว่าการผนึกกำลังเป็นกลุ่มก้อน ขบวนการ บางท่านใช้เวลาในการวิพากษ์วิจารณ์ โต้แย้ง หรือเสียดสี ตรวจสอบคุณสมบัติของปัญญาชนด้วยกัน มากกว่าจะสร้างขบวนทางปัญญาที่มีพลัง
และถ้าจะให้พูดตรงๆ ยกเว้นนักวิชาการอาวุโสที่เป็นผู้นำทางความคิดกับนักศึกษากลุ่มเล็กๆ ในท้องถิ่นแล้ว ผมเห็นว่า ปัญญาชนจำนวนมากเกินไป แทบจะไม่พยายามไปเกี่ยวร้อยกับความทุกข์ร้อนรูปธรรมของประชาชนกลุ่มต่างๆ เลย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยังไม่สามารถทำให้ความคิดของตน matter ในสังคมไทย ศักยภาพทางการเมืองของพวกเขายังคงเป็นแค่ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในโลกเสมือนจริงแต่ไม่ใช่พลังในโลกแห่งความจริง "
ผมคิดว่าคำวิจารณ์ของ อ.เสกสรรค์มีเหตุผลที่พึงรับฟัง แต่ที่กล่าวว่า "สิ่งที่หายไปคือสำนึก" ออกจะเป็น "คำพิพากษาทางจริยธรรม" มากไปหรือเปล่า
ถ้าหากอาจารย์มองว่านักวิชาการบางคน "ใช้เวลาในการวิพากษ์วิจารณ์ โต้แย้ง หรือเสียดสี ตรวจสอบคุณสมบัติของปัญญาชนด้วยกัน" สิ่งที่อาจารย์กำลังทำอยู่นี่คืออะไร?
ผมคิดว่า อ.เสกสรรค์อาจไม่ทราบว่า นักวิชาการที่เสนอความเห็นทางเฟซบุ๊กจำนวนไม่น้อย ถ้าไม่เคยถูกเรียกไปปรับทัศนคติในค่ายทหารหลังรัฐประหาร 2557 และถูกขึ้นบัญชีดำ ก็หนีไปต่างประเทศ การแสดงความเห็นทางเฟซฯ ก็ถูกจับตาโดยเจ้าหน้าที่รัฐตลอดเวลา มีหลายคนถูกคุกคามเสรีภาพอย่างต่อเนื่อง บางคนตกเป็นนักโทษทางความคิด
อีกอย่างในโลกจริงนั้น การรวมกลุ่มกันเสนอความคิดเห็น และเคลื่อนไหวในประเด็นทางการเมืองก็มีข้อจำกัดมาก แม้แต่การจัดเวทีเสวนาทางวิชาการเกี่ยวกับประเด็นการเมืองในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารทั้งในและนอกเครื่องแบบไปตรวจสอบ
ส่วนโลกเสมือนจริงก็ไม่ใช่ว่าเป็นโลกที่ต่างคนต่างอยู่ ไม่สนใจส่วนรวม ในหลายๆ กรณี นักวิชาการ นักกิจกรรมก็ใช้สื่อโซเชียลในการสร้างแนวร่วมในการเสนอประเด็นปัญหา การออกแถลงการณ์ต่างๆ เพื่อพิทักษ์สิทธิเสรีภาพ หรือคัดค้านกฎหมายบางฉบับที่มีปัญหาเป็นต้น
มันจึงไม่จริงว่าในโลกโซเชียลในกลุ่มนักวิชาการที่แสดงความเห็นทางการเมือง มันเกิด "สิ่งที่หายไปคือสำนึก" อะไรแบบนั้น แน่นอนว่าถ้าพูดโดยภาพรวมของนักวิชาการทั้งประเทศ ผมเห็นด้วยว่านักวิชาการส่วนมากละเลยปัญหาทางสังคมการเมืองที่สังคมเราเผชิญร่วมกันกว่าทศวรรษนี้จริง
แต่ก็นั่นแหละ ถ้าพูดตรงไปตรงมา ในวิกฤตทางสังคมและการเมืองกว่าทศวรรษมานี้ อ.เสกสรรค์ในฐานะปัญญาชนที่มีต้นทุนสูงทางสังคมก็แสดงความเห็นต่อสาธารณะเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง
ปาฐกถาครั้งล่าสุดนี้ ผมเห็นว่าอาจารย์แสดงได้ชัดเจนดีมาก มีประโยชน์ทางสติปัญญา แต่ "แกนกลางปัญหา" ที่อาจารย์พูดถึงในปาฐกถานี้ก็เป็นเรื่องที่นักวิชาการตัวเล็กๆ โนเนมทั้งหลายเขาเขียน เขาพูดในเวทีวิชาการต่างๆ แม้กระทั่งในโลกโซเชียลมามากแล้วตลอดเวลากว่าทศวรรษมานี้ หลายคนพูดตรงมากกว่าอาจารย์ด้วยซ้ำ
"...พูดตรงๆ ยกเว้นนักวิชาการอาวุโสที่เป็นผู้นำทางความคิดกับนักศึกษากลุ่มเล็กๆ ในท้องถิ่นแล้ว ผมเห็นว่าปัญญาชนจำนวนมากเกินไปแทบจะไม่พยายามเข้าไปเกี่ยวร้อยกับทุกข์ร้อนรูปธรรมของประชาชนหมู่เหล่าต่างๆ เลย" (เสกสรรค์)
--------------------
ทราบหรือเปล่าครับว่ามี "นักวิชาการอาวุโสที่เป็นผู้นำทางความคิด" กี่คนที่แสดงบทบาทอย่าง อ.เสกสรรค์พูด
จริงๆ หากเทียบกับนักวิชาการเล็กๆโนเนมในบ้านเรา "ประเด็นหลักๆ" ที่ อ.เสกสรรค์พูดในวันนี้ นักวิชาการเล็กๆ โนเนม เขาเขียน เขาพูด ในเวทีต่างๆ กันเยอะมาก พูด เขียนกันมานานแล้ว
ส่วน
ส่วน