อ่านข่าวยกฟ้อง #มือปืนป็อปคอร์น ทั้ง ๆ ที่จำเลยรับสารภาพ
มีพยานแวดล้อม รูปถ่าย วิดีโอเต็มไปหมด
นึกถึงคำพิพากษา #คดีอากง “แม้โจทก์จะไม่สามารถนำสืบพยานให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า
จำเลยเป็นผู้ที่ส่งข้อความตามฟ้อง...เนื่องจากจำเลยซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดดังกล่าว
ย่อมจะต้องปกปิดการกระทำของตนมิให้บุคคลอื่นได้ล่วงรู้
จึงจำเป็นต้องอาศัยเหตุผลประจักษ์พยานแวดล้อมที่โจทก์นำสืบ
เพื่อชี้วัดให้เห็นเจตนาที่อยู่ภายใน” (https://ilaw.or.th/node/1229)
คดีอากงถูกตัดสินว่า
"ผิด" โดยไม่มี "ประจักษ์พยาน" เช่นกัน #ตอกลิ่มเข้าไป
‘ตอกลิ่มเข้าไป’ นั่นใช่แล้ว
จงใจบิดเบือนหลักยุติธรรมสากลอีกอย่าง ตลาการไทยนี่ไม่ต่างอียิปต์
ยิ่งกว่าเวเนซูเอล่า โคตรตาดี
ขออนุญาตวิจารณ์เป็นเปราะๆ
“ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวน ประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่าหลังเกิดเหตุตำรวจติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุยิงใส่ผู้ชุมนุม
ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด และชายแต่งกายด้วยชุดดำหมวกไหมพรม
จากนั้นนำภาพมาเปรียบเทียบกับจำเลย
หลักฐานดังกล่าวจึงไม่อาจยืนยันได้ว่า ภาพจากกล้องวงจรปิดและตัวจำเลยนั้นเป็นคนๆ
เดียวกัน”
ถ้าตลาการดูหน้าคนร้ายในภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดไม่ชัด
เพราะชายใส่ชุดดำนั้นสวมหมวกไหมพรมด้วย ก็ควรจะหันมายึดหลักฐานจากคำให้การจำเลย
ไม่ใช่เผือกสู่รู้ว่าภาพกับตัวจริงไม่ใช่คนเดียวกัน
อันนี้วิจารณญานบุคคลธรรมดามีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ที่ไหนๆ
ในโลกก็เห็นอย่างนี้ ยกเว้น...
“เห็นว่าโจทก์มีเพียงภาพจากสื่อมวลชน
ไม่มีพยานบุคคลมายืนยัน มีเพียงคำให้การของจำเลยที่ให้การรับสารภาพ
ซึ่งมีพิรุธเคลือบแคลงสงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างฎีกา”
นี่เป็นการพิจารณาแบบสุกเอาเผากิน หรือไม่ก็ตามธงที่ตั้ง เพราะถ้าจำเลยสารภาพแล้วศาลจะไม่เชื่อ
ต้องไปสืบสอบหลักฐานพยานเพิ่มเติมให้แน่ใจว่า การสารภาพไม่ได้เกิดจากการบีบบังคับเหมือนคดีสองแพะกะเหรี่ยงเกาะเต่า
แล้วก็
ถ้าพิพากษากลับยกฟ้องแล้วจะให้ขังจำเลยต่อไปทำฐานรากอันไร
ให้ประกันปล่อยตัวไปเตรียมคดีสู้ฎีกาสิ
หรือว่าไม่กล้าปล่อยกลัววุ่น มีเสียงวิจารณ์ เสียงค้าน
เป็นปัญหาหนักแก่ คสช. เลยต้องขอให้ขังไว้ก่อน