ณ วันนี้ยังจะมีเหลือใครบ้างที่ไม่ค้านอำนาจรัฐประหาร
ดันรถไฟเร็วปานกลางไทย-จีน
Thanapol Eawsakul ยกบทความ อ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล นักวิชาการ มธ.
สาย ‘อยู่เป็น’
เขียนเรื่อง 'Memento mori' ไว้ที่ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1441942079183059&set=a.271670256210253.64010.100001018415956&type=3&hc_location=ufi
สรุปได้ง่ายๆ
สั้นๆ ตามคำแปลของหัวเรื่อง "Memento
mori - ท่านไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า"
ส่วน
Atukkit Sawangsuk แชร์บทความจากมติชนเกี่ยวกับปฏิกิริยาของ ดร.มานะ นิมิตรมงคล
เลขาธิการองค์การต่อต้านคอรัปชั่น (ประเทศไทย) หนึ่งในบรรดานักปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
ที่จะเป็นจะตายอย่างไรก็ ‘ไม่เอาทักษิณ’
ข้อใหญ่ใจความในโพสต์ชื่อ
"โครงการรถไฟความเร็วสูง" ของ
ACT-Anti Corruption
Thailand เอ่ยถึง
“สิ่งสำคัญที่นายชัชชาติ
สิทธิพันธุ์ อดีต รมว. คมนาคมในรัฐบาลชุดที่แล้วทำ แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ทำ คือ
1. ยอมรับกลไกการตรวจสอบตามกฎหมายทุกประการเพื่อความโปร่งใส
2. ให้จัดซื้อโดยการประมูลแบบ International
Bidding เพื่อให้เกิดการแข่งขันเสรี เปิดรับเทคโนโลยีและข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ
3. ประกาศแผนแม่บทของโครงการพัฒนาระบบขนส่งของประเทศให้ประชาชนทราบ”
ทุกวันนี้มีแต่คนนึกถึงคำของ สุพจน์ ไข่มุกด์
อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ คสช. อุ้มชูให้ไปหลบอยู่ในสภาปฏิรูป
“ถนนลูกรังให้หมดไปจากประเทศไทย ก่อนที่จะไปคิดถึงระบบความเร็วสูง”
บ้างก็แว่วเสียงเจื้อยแจ้วของ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ “คิดว่า
การมีรถไฟความเร็วสูงเป็นมาตรวัดของการพัฒนาประเทศ ไม่มีจะดิ้นตายหรือไง
ประเทศจะเจริญได้ต้องปลอดการโกงว้อย”
ส่วนปู จิตรกร บุษบา ที่เห็นเล่าแจ้งกันลั่นเว็บว่าปิดเพจหนีไปแล้ว
ปล่อยถ้อยคล้าสสิคที่เอามาใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดสามปีที่ผ่านมาได้อย่างเหมาะเหม็ง
“ก่อนมีรถไฟความเร็วสูง ขอมีนายก ‘ไอคิวสูง’ ก่อนได้มั้ย” ท่อนฮุกลงท้ายนี่เด็ดที่สุด “บ่องตง รกแผ่นดินชิหาย
อินายกวัชพืชเนี่ย”
ล่าสุดเนื่องมาจากแถลงการณ์ของนายศรีสุวรรณ จรรยา
เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ที่คัดค้านการใช้อำนาจมาตรา ๔๔
จัดการเรื่องรถไฟไทย-จีน ๔ ประเด็น จนทำให้กระทรวงคมนาคม โดยนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์
ผู้ช่วยปลัดกระทรวงในฐานะรองโฆษกกระทรวง ต้องออกมาชี้แจงแก้ตัว
เรื่องยกเว้นวิศวกรและสถาปนิกจีนไม่ต้องอยู่ในบังคับกฎหมายไทยนั้น
“ยกเว้นเพียงมาตรา ๔๕ มาตรา ๔๗ และมาตรา ๔๙ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขอรับใบอนุญาต
จึงมิได้เกี่ยวกับสิทธิในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในภายหลัง”
ส่วนที่ว่าคำสั่ง คสช. ใช้ ม.๔๔ ดังกล่าว ขัดหลักธรรมาภิบาล
วินัยการเงิน และเป็นการเลือกปฏิบัติ ผู้ช่วยปลัดคมนาคมตอบว่ามี “ข้อตกลงคุณธรรม (Integrity
Pact) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘” กำกับอยู่แล้ว
นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เกิดความโปร่งใสขึ้นมาได้อย่างใด ในเมื่อ ก็คณะรัฐมนตรีชุดเดียวกันนี้มิใช่หรือที่มาเห็นพ้องกับการใช้อำนาจพิเศษ
มอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่บริษัทก่อสร้างของจีนในโครงการรถไฟกรุงเทพฯ-นครราชสีมา
รัฐมนตรีชุดเดียวกันกับหัวหน้าคนเดิมที่เห็นพ้องกับการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหลักประกันสุขภาพ
จนเกิดการชุมนุมประท้วงของชาวบ้านทุกภาค ด้วยการไปชูป้ายเรียกร้องบ้าง
ไปแสดงการคัดค้านในบริเวณสถานที่ประชุมประชาพิจารณ์บ้าง
บางแห่งทำให้การประชุมดำเนินต่อไปไม่ได้
อันทำให้ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกสำนักนายกฯ
กล่าวหาผู้ชุมนุม “ขอให้ดูให้ดีว่ากลุ่มผู้ชุมนุมดังกล่าวไม่เห็นด้วยกับร่าง
พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ จริงๆ หรือมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
เพราะไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง”
ทั้งที่การเปลี่ยนแปลงที่โฆษกไก่อูอ้างนั้นไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง
ดังที่ขบวนการประชาชนชี้แจงไว้ อาทิ
“ภาคประชาชนไม่มีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
และในเนื้อหาการแก้กฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๕...
องค์ประกอบของคณะทำงานแก้ไขกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
พ.ศ.๒๕๔๕ ที่ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งขึ้นมานั้น ไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรมต่อประชาชน
โดยโน้มเอียงไปในทางเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ให้บริการจากกระทรวงสาธารณสุข
เนื่องจากสัดส่วนของคณะทำงาน ๒๖ คน มีตัวแทนของภาคประชาชนเพียง ๒ คน”
ดังนี้เป็นต้น
(จากข้อเรียกร้องของกลุ่ม
‘เครือข่ายซาวอีสานซอมเบิ่งบัตรทอง’ ดู http://prachatai.org/journal/2017/06/71996?utm_source=dlvr.it&utm_medium=twitter)
และแน่นอน นอกจากรัฐบาล
คสช. จะไม่ฟังว่าชาวบ้านพูดอะไรแล้ว “เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย”
(ในกรณีที่การจัดประชาพิจารณ์ที่ขอนแก่นต้องยุติลง)
ถ้าไม่หวยออกด้วย ม.๑๑๖ (อั้งยี่) หรือม. ๑๑๒ (หมิ่นฯ เบื้องบน)
ก็อาจเจอข้อหาขัดขืนคำสั่ง คสช. บ้างละ หรือถ้าจังหวะเหมาะเบาะๆ อาจแค่ ‘กีดขวางทางสาธารณะ’ และ/หรือ ‘ร่วมกันข่มขืนใจสมาชิก
อบต.’ อย่างเช่นที่ ‘แม่หญิงเมืองเลย’ ๗ นางได้เจอ
โดยเมื่อ ๑๘ มิ.ย. เวลา ๑๑.๐๐ น. “ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด
จาก 6 หมู่บ้าน ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย จำนวน ๕๐ คน ได้เดินทางมาที่
สภ.วังสะพุง เพื่อให้กำลังแม่หญิงชาวบ้าน ๗ คน ตามหมายเรียกให้มารับทราบข้อหาเพิ่มเติม”
ฐาน
“ร่วมกันชุมนุมสาธารณะกีดขวางทางเข้าออกและรบกวนการปฏิบัติงานในสถานที่ทำการหน่วยงานของรัฐ”
นอกเหนือจากข้อหา “ร่วมกันข่มขืนใจสมาชิก อบต.เขาหลวงโซนบน ๑๖ คน”
จากการเข้าร่วมประชุมและคัดค้าน
“การขอต่ออายุใบอนุญาตใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้และส.ป.ก.
เพื่อทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด”
จนเกิดโกลาหลนำไปสู่การยกเลิกประชุมวันนั้น
การดังกล่าวทำให้แม่หญิงทั้งเจ็ดโดนข้อหาต่างๆ
จากทั้งอัยการและ คณะ อบต. กันอ่วม ทั้ง “ประมวลกฏหมายอาญามาตรา ๕๘, ๘๓,
๙๑, ๑๓๘, ๑๔๐, ๓๐๙, ๓๙๑, และ ๓๙๒”
นี่ละ
ชาวบ้านโดนกันอย่างนี้เพียงเพราะแสดงออกเรียกร้องสิทธิอันควรมีควรเป็นของตน
ไม่ใช่ประชาธิปไตยแน่ๆ แม้จะ ‘อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ ก็เถอะ