วิพากษ์ปาฐกถาเสกสรรค์
ประเสริฐกุล
ชำนาญ จันทร์เรือง
พลันที่ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปาฐกถาเรื่อง “การเมืองไทยกับสังคม 4.0” ในงานเสวนา “Direk’s
Talk ทิศทางการเมืองโลก ทิศทางการเมืองไทย และนโยบายสาธารณะ”
จัดโดย ศูนย์วิจัย ดิเรก ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วันที่ 19 มิถุนายน 2560 จบลง
การวิพากษ์วิจารณ์ก็เกิดขึ้นอย่างเผ็ดร้อนในโซเชียลมีเดีย
และตามมาด้วยการเสนอข่าวในสื่อกระแสหลักในวันถัดมา
แน่นอนว่ามีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มีทั้งเห็นด้วยบางประเด็นไม่เห็นด้วยบางประเด็น
ฯลฯ บ้างไปไกลถึงขนาดโจมตีว่าช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้นเสกสรรค์หายไปไหน
ในฐานะที่เป็นนักวิชาการซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะอาวุโสตามความหมายของอ.เสกสรรค์หรือเปล่า
ก็อดเสียไม่ได้ที่จะต้องออกมาให้ความเห็น
เพราะมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบในฐานะนักวิชาการเช่นกัน แต่จะให้ความเห็นเฉพาะที่เห็นต่างเท่านั้น
โดยไม่จำต้องให้ความเห็นในส่วนที่เห็นพ้องต้องกันแต่อย่างใด
เพราะเป็นหลักวิชาทางรัฐศาสตร์ที่รับรู้กันโดยทั่วไปแล้ว
เว้นเสียแต่ว่าจะตะแบงกันไปข้างๆ คูๆ ของพวกเนติบริกร รัฐศาสตร์บริการ หรือนักวิชาการเครื่องซักผ้าน่ะครับ
1.เสกสรรค์
- “ยิ่งไปกว่านี้ รัฐธรรมนูญ 2560 ยังมีบทบัญญัติต่างๆ ที่ทำให้แก้ไขได้ยาก
จนถึงขั้นเกือบเป็นไปไม่ได้
ซึ่งหมายถึงว่าผู้ร่างมีวัตถุประสงค์จะตรึงโครงสร้างดังกล่าวไว้ให้นานแสนนาน
ดังนั้น เมื่อบวกรวมกับช่วงที่รัฐบาลทหารปกครองโดยตรงแล้ว เราอาจกล่าวได้ว่า
การกุมอำนาจของชนชั้นนำภาครัฐคงดำเนินอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 9-10 ปี แน่ล่ะ
ถ้าพูดถึงตัวบุคคลหรือแม้แต่ คสช. การสืบทอดอำนาจอาจไม่เป็นเส้นตรงขนาดนั้น
แต่ถ้าพูดถึงชนชั้นนำภาครัฐแล้ว การต้องการพื้นที่ถาวรและอำนาจนำทางการเมือง เป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน”
ความเห็นแย้ง
ผมคิดว่า คสช.ไม่มีกึ๋นอะไรขนาดนั้นหรอกครับ
คิดเป็นอยู่อย่างเดียวคือทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เสียของ ตอนนี้เลยเสียหมด
กอปรกับสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เป็นใจ เมื่อผนวกเข้ากับภาวการณ์ที่รัฐธรรมนูญแก้ไขได้ยากหรือเรียกได้ว่าแก้ไขไม่ได้เลยนั้น
ย่อมนำมาสู่ภาวะที่อึดอัดขัดข้อง
และนำไปสู่การฉีกรัฐธรรมนูญในที่สุด
ด้วยวิธีการ 2 แบบ คือ 1.การทำรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง หรือ
2.การลุกฮือขึ้นมาของประชาชน ซึ่งอย่านึกว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อถึงภาวะฟางเส้นสุดท้าย
หรือ ‘point of no return’ แล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้
อนึ่ง
การวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทยจะดูเฉพาะเพียงปัจจัยที่ปรากฏภายนอกไม่ได้
เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นอีกมากมาย
เพราะแม้แต่ร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติแล้วยังเปลี่ยนแปลงได้
2.เสกสรรค์ - “ดังนั้น การเมืองในยุคไทยแลนด์ 4.0
จึงมีแนวโน้มที่จะไปได้ทั้งสองทางคือ ทางแรก นักการเมืองเล่นบทหางเครื่อง
คอยผัดหน้าทาแป้งให้กับชนชั้นนำภาครัฐที่ได้กุมอำนาจต่อในฐานะรัฐบาลประชาธิปไตย
กลายเป็นการเมืองแบบที่นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรียกว่าระบอบเกี้ยเซียะ ทางที่สอง พรรคการเมืองส่วนใหญ่อาจผนึกกำลังทำหน้าที่ฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์
มีข้อเสนอแนะข้อโต้แย้งที่แตกต่างจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม
อันนี้ถ้าเกิดขึ้นจริงจะเป็นปรากฏการณ์ที่เร้าใจยิ่ง
และเป็นการสมทบส่วนที่สำคัญให้กับพัฒนาการทางการเมืองในประเทศเรา”
ความเห็นแย้ง มีความเป็นไปได้เพียงทางเดียว
คือ นักการเมืองเล่นบทหางเครื่อง
คอยผัดหน้าทาแป้งให้กับชนชั้นนำภาครัฐที่ได้กุมอำนาจต่อในฐานะรัฐบาลประชาธิปไตยเท่านั้น
ซึ่งหมายความรวมถึงพรรคเพื่อไทย ที่ถึงแม้จะถูกกระทำมาอย่างหนักก็ตาม เพราะนักการเมืองก็คือนักการเมืองนั่นเอง
3.เสกสรรค์ - “...ปัญญาชนและนักวิชาการ
ชนกลุ่มนี้มีศักยภาพทางการเมืองสูงมาตั้งแต่สมัยโบราณ
เพียงแต่วิวัฒน์จากนักปราชญ์ราชบัณฑิต ปุโรหิต สมณะ มาเป็น ผศ. รศ. คอลัมนิสต์ หรือนักวิชาการอิสระเท่านั้นเอง”
“...ปัญญาชนที่ถือตนว่าเป็นเป็นฝ่ายประชาธิปไตยนั้นไม่ค่อย
connect กับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนเท่าใด
ส่วนใหญ่พอใจอยู่กับการออกความเห็นใน Facebook กระทั่งบางส่วนออกจะรังเกียจการเมืองภาคประชาชน
โดยเห็นว่าแกนนำบางคนเคยต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”
“...หลายท่านให้ความสำคัญกับเสรีภาพส่วนตัวในการแสดงความคิดเห็น
มากกว่าการผนึกกำลังกันเป็นกลุ่มก้อนขบวนการ บางท่านใช้เวลาไปในการวิพากษ์ โต้แย้ง
หรือเสียดสี
ตรวจสอบคุณสมบัติของปัญญาชนด้วยกันมากกว่าจะสร้างขบวนทางปัญญาที่มีพลัง”
“...ผมเห็นว่าปัญญาชนจำนวนมากเกินไป
แทบจะไม่พยายามเข้าไปเกี่ยวร้อยกับทุกข์ร้อนรูปธรรมของประชาชนหมู่เหล่าต่างๆเลย”
“ด้วยเหตุนี้
พวกเขาจึงยังไม่สามารถทำให้ความเห็นของตน matter ในสังคมไทย
ศักยภาพทางการเมืองของเขายังคงเป็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในโลกเสมือนจริง
แต่ยังไม่ใช่พลังในโลกแห่งความจริง”
ความเห็นแย้ง
3.1 ที่ว่าปัญญาชนส่วนใหญ่อาจจะพอใจกับการออกความเห็นใน
Facebook นั้นไม่จริงเสมอไป
เพราะปัญญาชนส่วนใหญ่ตามความหมายของ อ.เสกสรรค์ ที่ว่าคือ ผศ.รศ. คอลัมนิสต์ หรือนักวิชาการอิสระ
นั้นหลายคนไม่เล่น Facebook เลยก็ว่าได้
หรือบางคนอาจจะมีเพียงบัญชีเพื่อไว้ดู โดยแทบจะไม่ได้ออกความเห็นอะไรเลย
ในทางกลับกันในคำกล่าวที่ว่าศักยภาพทางการเมืองของเขายังคงเป็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในโลกเสมือนจริง
แต่ยังไม่ใช่พลังในโลกแห่งความจริงนั้น ก็ไม่จริงอีกเช่นกัน
เพราะปรากฏการณ์ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในยุคปัจจุบันนี้ หลายๆ ครั้งก็เป็นผลมาจากพลังทางโซเชียลมีเดียเหล่านั้น
กาลเวลาผ่านไปสภาวะแวดล้อมย่อมเปลี่ยนไป
การถวิลหาการเมืองในรูปแบบของการจัดตั้ง ในรูปแบบเดิมๆ นั้นทำไม่ได้
แม้ในอดีตเองก็ตาม ที่นักศึกษาปัญญาชนหนีเข้าป่า
การจัดตั้งก็มาจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
มิได้มาจากนักศึกษาปัญญาชนแต่อย่างใด
3.2 ส่วนที่ว่าหลายท่านให้ความสำคัญกับเสรีภาพส่วนตัวในการแสดงความคิดเห็นมากกว่าการผนึกกำลังกันเป็นกลุ่มก้อนขบวนการ
บางท่านใช้เวลาไปในการวิพากษ์ โต้แย้ง หรือเสียดสี
ตรวจสอบคุณสมบัติของปัญญาชนด้วยกันมากกว่าจะสร้างขบวนทางปัญญาที่มีพลังนั้น อาจจะจริงบ้างเพราะเป็นธรรมชาติของปัญญาชนทั้งหลาย
ที่มักจะขัดแย้งและเสียดสีกันเอง
แต่เมื่อใดมีเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้นเขาเหล่านั้นจะมารวมตัวกันออกแถลงการณ์หรือจัดกิจกรรมร่วมกัน
แต่จะให้รวมตัวกันอย่างมั่นคงถาวรนั้นมันเป็นไปไม่ได้
เพราะแม้แต่ในอดีตก็ไม่เคยมีสิ่งที่ว่านี้เช่นกัน
นอกเหนือจากธรรมชาติของปัญญาชนหรือนักวิชาการที่รวมตัวกันอย่างถาวรยากแล้ว
เมื่อประกอบเข้ากับคำสั่งของ คสช. และการจับกุมคุมขังหรือการเรียกไปอบรมหรือข่มขู่
(เรียกเพราะๆว่าการปรับทัศนคติ) รวมถึงการไปคุกคามถึงที่บ้านและครอบครัวด้วยแล้ว
ผมเห็นว่าปัญญาชนหรือนักวิชาการไทยสายประชาธิปไตย ทำได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้ว
3.3 สำหรับประเด็นที่ว่าปัญญาชนจำนวนมากเกินไป
แทบจะไม่พยายามเข้าไปเกี่ยวร้อยกับทุกข์ร้อนรูปธรรมของประชาชนหมู่เหล่าต่างๆ เลยนั้นก็เช่นเดียวกัน
เพราะตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมาปัญญาชนหรือนักวิชาการก็เข้าไปเกี่ยวข้องช่วยเหลือน้อยอยู่แล้ว
เพราะมหาวิทยาลัยไทยนั้นตายสนิทมาหลายปีแล้ว ก่อนยุค 14 ตุลาเสียด้วยซ้ำไป
กล่าวโดยสรุปก็คือผมยังไม่หมดหวังสำหรับสังคมไทย
เพราะจากประวัติศาสตร์การเมืองของทั่วโลกได้ให้บทเรียนที่เจ็บแสบแก่เหล่าเผด็จการทั้งหลายมาแล้ว
อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง