นางอภิรดี ตันตราภรณ์ |
คสช. เห็นท่าจะจนตรอกกับการฟื้นเศรษฐกิจ
ใช้วิธีแก้กฎหมายให้สิทธิต่างด้าวเข้ามาเปิดกิจการธนาคารในไทยเพื่อกระตุ้น
กระทรวงพาณิชย์รับงานปลดล็อกธุรกิจ ๑๙ อย่าง ในบัญชีรายชื่อห้อยท้าย
พรบ. ประกอบธุรกิจ พ.ศ.๒๕๔๒ ที่จำกัดสำหรับคนต่างด้าว ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับกิจการธนาคาร
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ แจงรายการธุรกิจที่ยกเลิกข้อจำกัด ว่าเป็นพวกบริการสถาบันการเงิน
จัดการอสังหาริมทรัพย์ บริหารสินทรัพย์ และตัวแทนนิติบุคคล
อันจะทำให้ง่ายต่อการขออนุญาต ร่นเวลา ลดภาระค่าใช้จ่าย ก่อเกิดความรวดเร็วสำหรับธุรกิจต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
แม้นว่า รมว.
พาณิชย์จะอ้างเป้าหมายอันฝันเฟื่องในระยะยาวว่า “จะเกิดโอกาสสำคัญที่ดึงดูดการลงทุนจากผู้ประกอบการต่างชาติ
ให้เข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย...เสริมให้ไทยก้าวไปเป็นศูนย์กลางของอาเซียน”
ก็ตาม
เห็นชัดว่า คสช. หมดหนทางอื่นนอกจากขายผ้าเอาหน้ารอด ด้วยการแก้กฎหมายเพื่อเอื้ออำนวยต่อธุรกิจต่างชาติ
แม้กระทั่งในด้านการธนาคาร ซึ่งแต่ไหนแต่ไรเป็นกิจการที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง
ไม่ให้การเงินการคลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมของต่างชาติ
ในทำนองเดียวกับที่ คสช. ใช้มาตรา ๔๔
อำนวยให้จีนเข้ามาดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง (ความจริงแค่เร็วปานกลาง)
โดยไม่คำนึงว่าเป็นการเปิดทางให้ต่างชาติเข้ามาใช้สิทธิสภาพนอกอาณาเขต อันเป็น taboo หรือ ‘ของต้องห้าม’ อีกอย่างหนึ่ง
ในด้านการเมืองระหว่างประเทศ
นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการบีโอไอ |
ขณะที่ทางคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนก็มีมติจัดตั้ง ‘ศูนย์บุคคลากรทักษะสูง’
ดึงดูดชาวต่างชาติที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาเป็นผู้เชี่ยวชาญในสังกัด
สำหรับจับคู่ทักษะ หรือ ‘talent matching’ ให้กับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
(S-Curve)
นอกนั้น ‘STC’ ศูนย์ทักษะดังกล่าว
ยังจะเป็นตัวกลางจัดส่งผู้ชำนาญทางด้านเทคโนโลยี่ไปสอนให้กับคนงานไทยในบริษัทต่างชาติที่มาเปิดกิจการในไทยด้วย
หลักสำคัญของโครงการนี้
ที่จะเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้เป็นต้นไปอยู่ที่ “บุคลากรที่มาขึ้นทะเบียนกับ STC โดยเฉพาะชาวต่างชาติ จะได้รับการพิจารณาพิเศษในขั้นตอนการต่ออายุวีซ่า
จากเดิมเมื่อวีซ่าหมดอายุใช้เวลา
๓-๗ วันถึงได้รับการพิจารณาต่อวีซ่าใหม่
ต่อไปจะลดเหลือเพียง ๓
ชม.
หรือภายในวันเดียว”
ในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์อายุวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ปกติมีเวลา ๑ ปีนั้น ทางบีโอไอเตรียมการพิจารณาเพิ่มระยะเวลาอายุของสิทธิประโยชน์ขึ้นให้มากขึ้นไปกว่านั้นอีก
มาตรการเหล่านั้นพ้องกับข้อเสนอแนะของนักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลกเกี่ยวกับประเทศไทย
ที่ให้ไว้ในการสัมภาษณ์ของสื่อวิชาการ ‘ไทยพับลิก้า’ (http://thaipublica.org/2017/04/worldbankseries_video1/)
ดร.เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา กล่าวไว้ในการแสดงความเห็นสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยเมื่อปลายเมษายน ๒๕๖๐ ตอนหนึ่งว่า
“สิ่งที่เราพบสำหรับประเทศไทยก็คือเรื่องไม่สามารถหาแรงงานที่มีทักษะ
ซึ่งอุปสรรคนี้เรายังไม่ค่อยเห็นอย่างชัดเจนในประเทศเพื่อนบ้าน
เพราะฉะนั้น ‘แรงงานที่มีทักษะ’
เป็นประเด็นที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงกับประเทศไทย ซึ่งสะท้อน ๒ อย่าง คือ ๑) ระบบการศึกษา ไม่ได้เตรียมเด็กเพื่อจะรับงานในเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ไม่ได้ให้ทักษะที่เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน
๒) สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้เป็นเศรษฐกิจที่อยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง
แล้วก็การที่เราจะพ้นกับดักคือต้องมีทักษะ
เพื่อก้าวไปสู่งานที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น”
แต่สิ่งที่บีโอไอทำนี้มีลักษณะของการ
‘โตแล้วเรียนลัด’
เสียมากกว่า เนื่องจากการสร้างแรงงานทักษะมารองรับการพัฒนาการผลิตและบริการ
มักต้องใช้เวลาเป็นทศวรรษ
ซึ่ง ‘ค่านิยม ๑๒ ประการ’ ที่
คสช. นำมายัดใส่หัวเด็กไทยตลอดสามปีที่ผ่านมานั้นไม่ได้สร้างทักษะให้แก่เศรษฐกิจยุคดิจิทัลเลยแม้แต่นิด
ซ้ำร้ายมันคือตัวเหนี่ยวรั้งไม่ให้สติปัญญาของเด็กไทย
(รวมถึงประชาชนทั้งมวลในประเทศ) เบ่งบานก้าวหน้า เพราะค่านิยมจาก คสช.
มีแต่กดดันให้สมองฝ่อ ตีกรอบทักษะให้อยู่ในวงล้อมของการเป็น ‘ไอ้เณร’
พลทหารลูกไล่ของหัวหมู่และเจ้านาย