วันอาทิตย์, มิถุนายน 11, 2560

‘เซ็ทซีโร่’ นี่ยาแรง พวกองค์กร ‘อิสระ’ จากการเลือกตั้งโดยประชาชน พากันตัวสั่นงันงก

วัส ติงสมิตร ประธาน กสม.
เสร็จแล้วไอ้ เซ็ทซีโร่นี่ยาแรงแฮะ กลายเป็นมาตรการที่ทำให้พวกองค์กร อิสระจากการเลือกตั้งโดยประชาชน พากันตัวสั่นงันงก

ขนาดว่าประธาน กสม. (องค์การสิทธิมนุษยชนไทย) นี่นะ ยังต้องวิงวอนขอความเมตตา บอกจะเซ็ทอะไรขอให้ดูเป็นรายคน ว่าใคร “ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ซึ่งจะเป็นเรื่องเฉพาะรายที่เป็นทางออกที่ดีที่สุด

ทั่นประธาน วัส ติงสมิตร แทบจะคุกเข่า “ขอวิงวอนให้องค์กรที่เกี่ยวข้องพิจารณาด้วยความเมตตามากๆ ก่อนที่จะคิดว่าจะรีเซ็ตหรือให้ทำหน้าที่ต่อ

เขาออกมาบอกว่าไม่เห็นด้วยกับทฤษฎี ปลาสองน้ำ ของทั่นรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย แล้วร่ายเรื่องปลาซะซับซ้อน แซลม่อนอร่อยเพราะสองน้ำ ปลาคังโขงเจียมอร่อยที่สุดมาจากสามน้ำ โขง-ชี-มูล

องค์กรอิสระอย่าง กกต. และ กสม. ก็เหมือนกัน เขายืนยัน “ถ้าเป็นปลาสองน้ำแล้วทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพ ก็ควรให้ทำหน้าที่ต่อ...ถ้าทำงานไม่ดี ก็มีทางถอดถอนได้อยู่แล้ว”


ฝ่ายนายสมชัย (ศรีสุทธิยากร) องค์กรอิสระ กกต. โคถึกที่กำลังจะโดนเชือดฮึดต่อ ว่าเซ็ทซีโร่นี่เป็น ด้านมืดของการปฏิรูประบบเลือกตั้งเลยทีเดียว

อีกทั้งยังเห็นเป็น “ตราบาปสำคัญกับการเมืองไทย ที่ไม่ต่างอะไรกับการลงมตินิรโทษสุดซอย ที่อาศัยอำนาจและเสียงข้างมาก

ตรงนี้ไม่วายแขวะฟากโน้นเขาเสียหน่อย เดี๋ยวจะโดนกล่าวหาว่าแปรพักตร์ไปอยู่กับพวก ตาสว่าง

ซ้ำยังเหน็บน่าฟัง ชี้ปัญหาการสรรหา กกต. ชุดใหม่ มิใช่ภาวะปกติ ไม่ใช่สรรหาโดยวุฒิสภาที่ประชาชนเลือกมา แต่ว่า “เป็น สนช.ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะผู้มีอำนาจ

ซึ่งไม่ว่ากรรมการสรรหาจะเสนอชื่อใครมา สนช.ที่ปฏิบัติหน้าที่วุฒิสภา อาจส่งคืนให้ไปสรรหามาใหม่จนกว่าจะเป็นที่พอใจ


ก็ไม่รู้ว่าพวก กรธ. สปท. สนช. และ คสช. เขาจะยอมรับฟังพวกโคถึกเหล่านี้แค่ไหน ถ้าให้เดาใจ คสช. นะ แบบว่าล้างไพ่ใหม่ทั้งหมดเข้าทีกว่า แล้วใช้หลักพิจารณารายบุคคลอย่างประธาน กสม.ว่า คนไหนถูกใจเป็นลิ่วล้อที่ดี ก็ตั้งกลับเข้าไปใหม่

ทฤษฎีนี้มีคนพูดไว้แล้วอย่างน้อยสอง คนแรกคือนางสดศรี สัตยธรรม อดีต กกต. ที่อ้างว่าถ้าอยากจะเซ็ทซีโร่จริงๆ ต้องทำให้เหมือนกันหมดทุกๆ องค์กรอิสระ

อีกคนจากค่ายเพื่อไทย อดีตรองนายกฯ จาตุรนต์ ฉายแสง เห็นแบบเดียวกับนางสดศรีว่านอกจาก กกต. แล้ว ต้องเซ็ทซีโร่องค์กรอิสระที่เหลืออยู่ทั้งหมด “รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญ” ด้วย

จาตุรนต์อ้างเหตุผลของเขาว่า กรรมการองค์การอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาจากการสรรหาและแต่งตั้งหลายทาง ตามรัฐธรรมนูญ ๕๐ บ้าง รธน.ชั่วคราวบ้าง และตามคำสั่ง คสช. บ้าง

ล้วน “มาจากระบบกติกาอย่างอื่นที่ไม่ใช่รัฐธรรมนูญปัจจุบัน...ซึ่งการมีรัฐธรรมนูญใหม่ คือการวางระบบกติกาใหม่ เมื่อมีการกำหนดหลักเกณฑ์การสรรหาและการแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ ก็ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนั้น


อดีตรักษาการณ์หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเสนอด้วยว่า อีกองค์กรหนึ่งที่ไม่ต่างจากพวกองค์กรอิสระทั้งหลาย ซึ่งควรจะต้องใช้หลักเกณฑ์เซ็ทซีโร่ไปพร้อมๆ กัน ก็คือศาลรัฐธรรมนูญ

ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ตามกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ ต้องวินิจฉัยว่า “องค์กรใดหรือบุคคลใด ทำอะไรขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่”

ครั้นเมื่อเกิดการรัฐประหารอันไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ศาล รธน. กลับไม่วินิจฉัยว่าเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับ “สูญเสียสถานะความเป็นศาลรัฐธรรมนูญไปตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรที่จะทำหน้าที่มาตั้งแต่นั้นแล้ว

เช่นนี้ “ไม่ควรให้คณะบุคคลที่ล้มเหลวในการรักษาความถูกต้องตามรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้ว มาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

นอกเหนือจากนั้น นายจาตุรนต์ชี้ด้วยว่า “ต้องเซ็ทซีโร่เสียทุกองค์กร ไม่ต้องดูว่าผู้มีอำนาจพอหรือไม่พอใจการทำงานขององค์กรใด ให้เป็นเรื่องของเมื่อมีระบบใหม่ก็ควรได้องค์กรตามระบบใหม่

สังเกตุดู ผู้มีอำนาจอาจจะไม่ได้ติดใจอะไรมากนักเรื่องปลากี่น้ำ เป็นไอเดียปิ๊งคิดริเริ่มของพวกนักกฎหมาย บริกรบริการกันเสียละมากกว่า แต่ว่า คสช. หันมาเพ่งเล็งตรงนี้ยิ่งขึ้น คงรู้สึกว่าลมกำลังชักจะหวนแปรปรวนเปลี่ยนทิศละมัง

จึงได้เกิดการปิดงานนัดกินข้าวสังสรรค์ของอดีต ส.ส. ๕๐ คน ที่โรงแรมเซ็นทาร่า ลาดพร้าว อย่างมีเลศนัย เนื่องเพราะหนึ่งข้อน่าสังเกตุ ส.ส.เหล่านั้นมาจากหลายพรรค ทั้งเพื่อไทย ปชป. และบางพรรคเล็ก

ข้อสอง ตำรวจท้องที่อ้างว่ามีวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดภายในห้องจัดเลี้ยง จึงเชิญผู้ร่วมงานทุกคนออกจากบริเวณชั้นสอง เพื่อให้หน่วยตรวจระเบิดเข้าไปดำเนินการ งานก็ถูกปิดไปโดยปริยาย

จนนายวิวรรธนไชย ณ กาฬสินธุ์ หนึ่งในแกนผู้จัดงานแสดงความไม่พอใจว่า “ไม่ทราบมีการแจ้งระเบิดจริงหรือไม่ แต่การไล่คนในห้องจัดเลี้ยงออกจากห้องขณะที่คนอื่นยังเข้าออกได้ ถือเป็นการไม่ให้เกียรติกัน”


เรื่องเกียรติน่ะ คสช. เขาสงวนไว้ไม่ยอมยื่นให้ใครที่นิยมการเลือกตั้งอยู่แล้ว แต่เรื่องระแวงรอบด้าน กลัวว่าพวกการเมืองจะรวมหัวกันได้นั่นต่างหาก ทำให้ต้องสวมวิญญาน ฟ้าสซิสต์ ต่อไปอีกนาน