กว่าจะถึงวันครบรอบสามปีของการยึดอำนาจปกครองโดยทหาร คสช. ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ผู้ต้องหาความผิดอาญามาตรา ๑๑๒ คงถึง ๑๑๒ รายได้แน่
ขณะนี้ก็เข้าไป ๑๐๕ คดีแล้ว ดังที่ประธานสหพันธ์สิทธิมนุษยชนนานาชาติประจำภาคพื้นเอเซีย
ซึ่งมีสำนักงานกลางอยู่ในกรุงปารีส แอนเดรีย จีออร์เก็ตตา นับไว้
เสริมด้วยการคาดคะเนของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ด้วยว่า
“อาจจะมีคดีหมิ่นกษัตริย์เพิ่มอยู่ในมือของ ‘นายกฯ
นายพล’ อีกไม่รู้เท่าไหร่ เพราะการจับกุมและดำเนินคดีเลส
มาเจสตี (ในประเทศไทย) นี้บางครั้งทำกันอย่างลับๆ และ (ถึงจะไม่ปิดก็)
เพียงแย้มๆ เปิด”
(http://www.bangkokpost.com/news/general/1245074/112-turns-100 -transcription is not litterally)
น่าทึ่งที่บางกอกโพสต์บอกว่า
อาจมีคนพูดว่าไม่ได้รู้สึกหรือน่าสังเกตุที่ประเทศไทยมีการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลังจากการรัฐประหาร
๑ คดีทุกๆ ๑๐ วัน ๖ ชั่วโมง ๓๗ นาฑี
“แต่ถ้าเอาสถิตินี้ไปเทียบเคียงกับคดีเลส มาเจสตีทั่วโลก ภายในเวลาไม่ถึงสามปีดีนี่ละก็
ประเทศไทยได้ ๑๐๕ ทั่วโลกแค่ศูนย์” เอาไปใส่ในสถิติโลกกินเนสได้แน่นอน
บางกอกโพสต์เอ่ยถึงคดี ‘หมิ่นฯ’ อื่นๆ อีกหลายรายที่ชาวโลกรับรู้ว่ามัน ‘odd’ ขาดวิ่นไม่ลงตัว
รวมทั้งการควบคุมตัว ประเวศ ประภานุกูล ทนายความสิทธิมนุษยชนกับคนที่โดนคดี ๑๑๒
ในช่วงเดียวกันอีก ๕
เพียงแค่เปิดหูเปิดตารับรู้ภาพข่าวแปลกประหลาดเกี่ยวกับเจ้าไทยทางออนไลน์-อินเตอร์เน็ต
หลังจากที่มีการห้ามประชาชนติดตาม แบ่งปัน และต่อเติม
ข้อความบนหน้าเฟชบุ๊คของสามบุคคล ‘ต้องห้าม’ ของ คสช.
แต่ดังระเบิดทางหน้าสื่อสังคม สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
และแอนดรูว์ แม็คเกรเกอร์ มาร์แชล
แต่คดีที่ผู้ถูกกล่าวหาถูกกักขังมากว่า ๑๐๐ วัน
ในข้อหาความผิด ‘หมิ่นเจ้า’ ที่คนอีกสองพันกว่าซึ่งทำแบบเดียวกันไม่โดน
(หมายความว่าคนที่โดนคือ ‘แพะ’ แท้ๆ)
ซ้ำต้นตอของข้อความซึ่งเป็นพลเมืองของนานาชาติไม่ระคายเคือง
เนื่องจากเรื่องอย่างนี้ในสากลโลกไม่ใช่ความผิดแต่อย่างใด
ไผ่ ดาวดิน ผู้ต้องขังรายนี้ ได้รับรางวัล ‘กวางจู’
แห่งเกาหลีใต้ ในฐานะนักสิทธิมนุษยชนสากลดีเด่น ที่นานาชาติควรควรยกย่อง
องค์กรอันมีชื่อเสียงเป็นเด่นในภูมิภาคเอเซีย เจ้าของรางวัลถึงกับทำหนังสือเป็นทางการเรียกร้องให้นายพลหัวหน้ารัฐประหารไทยปล่อยตัวเขาไปรับรางวัล
พบแต่การนิ่งเฉย ทนน้ำร้อน
แม้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขา Bow Nuttaa Mahattana จะถึงขั้น ‘วิงวอน’ ก็ดูเหมือนทั้งประเทศมีแต่ความสงบราบคาบ
‘ไทยเฉย’ ไม่เคยสะทกสะเทือนกับชะตากรรมของผู้ถูกกดขี่
ตราบเท่าที่มันยังไม่มาถึงตน
โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา เขียนบนหน้าเฟชบุ๊คของเธอว่า “รณรงค์ #ปล่อยไผ่ ร่วมทำกิจกรรมกันมานับครั้งไม่ถ้วน
ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวที่โบว์จะใช้คำว่าวิงวอน ร้องขอความเมตตา ความกรุณา
เพราะเราเชื่อว่าความเป็นธรรมควรมาจากการหยิบยื่น ไม่ใช่อ้อนวอน
แต่สำหรับการยื่นขอประกันตัวพรุ่งนี้
ขอใช้คำทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เพื่อการขอร้องให้พิจารณาด้วยเหตุผล
เพราะเหตุผลที่เคยให้กันมันถูกต้องชัดเจนจนไม่เหลืออะไรให้ต้องพิจารณาอย่างยากเย็น
ตั้งแต่เรื่องพฤติกรรมจำเลย สิทธิขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ...
แต่ครั้งนี้
ขออ้อนวอนให้มนุษย์ที่เกี่ยวข้องได้ใช้หัวใจ เปิดทางให้ #ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม ได้กลับมามีที่ยืนในใจคนสักครั้ง
เชื่อเถิดว่า ไม่ว่าคุณจะมีความคิดความเชื่อแตกต่างกันมากขนาดไหน เราจะได้เก็บเกี่ยวผลของมันร่วมกัน”
ทั้งๆ ที่รู้ว่าคำวิงวอนเช่นนั้น มันมักจะลอยไปกับสายลม
ในดินแดนที่ผู้คนถนัดกับการหมอบคลานกราบไหว้ แต่ก็มีหลายคนหวังว่าสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้บางคราว
ถ้ากบทั้งหลายร่วมใจผนึกกำลังพากันออกนอกกะลาสู่หนองน้ำลึกใหญ่
ที่แม้แต่นกกระสาก็ไล่จิกไม่ถึง
ดูตัวอย่างในทางกลับ
จากคดีความของทายาทมหาเศรษฐีระดับโลกตระกูล ‘อยู่วิทยา’ ณ ผู้สามารถเลี่ยงโทษฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา
ซ้ำผู้ตายเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มาเนิ่นนานกว่า ๕ ปี จนข้อหาหลุดไปได้แล้ว ๒ ใน ๔
‘บอส’ วรยุทธ์ อยู่วิทยา เพิ่งมาตกที่นั่งลำบาก
ไม่สามารถใช้ชีวิตสำราญอย่างหรูหราท่องเที่ยวไปทั่วโลกเสมือนไม่เคยกระทำผิดอาญา
ต้องมาหลบหนีซ่อนเร้นชนิดเจ้าหน้าที่ไทยไม่มีแม้แต่คิดว่าจะหาเจอ ถึงจะยังคงอูฟูก็คงไม่สำราญอย่างเดิมได้
เพราะนานาชาติเขามองเห็นว่านี่มันชั่วร้าย ไม่ถูกต้อง
ร้องบ่นกันขึ้นมา จะเรียกว่าตบหน้าระบบบังคับใช้กฎหมายไทยก็ไม่เชิง เนื่องจากตบอย่างไร
แรงแค่ไหนก็ไม่รู้สึก หน้าไทยใช้ศัลยกรรมพล้าสติกไม่อาจรับรสสัมผัสแรงกระทบเหมือนดั่ง
fresh
& blood ได้แล้ว
ความยุติธรรมมันเริ่มจากนอกบ้าน เมื่อสำนักข่าวเอพีไปดักถาม
‘บอส’ ที่หน้าแฟลตในย่านผู้มีเกินกินของลอนดอน ว่าไฉนไม่ยอมไปปรากฏตัวตามนัดศาลไทยเสียทีสี่ห้าครั้ง
ทายาท ‘กระทิงแดง’ ไม่ยอมปริปาก
จากนั้นพากันย้ายหนี
จนเมื่อมีอดีตเนวี่ซีลนาม เวย์น เฮสส์ ทนไม่ไหว ออกมารณรงค์ให้บอยคอตเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อ
‘เร็ดบุล’ ที่โด่งดังสนั่นโลก
ตามด้วยสปอนเซอร์แข่งรถสูตรหนึ่งสองราย
เฟอรารี่กับเบ๊นซ์ไม่ยอมสังฆกรรมด้วยกับเร็ดบุลมาสองครา ประกาศว่าเพื่อกดดันเชิงจริยธรรมให้วรยุทธ์เข้าสู่กระบวนยุติธรรม
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายงานว่า “ขณะนี้เหลือสองข้อหาที่จะเอาผิดกับบอส คือ ข้อหาไม่หยุดให้ความช่วยเหลือตามสมควร
และ ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” กระนั้นหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็ยอมรับว่า
“ตั้งแต่เป็นคดีความเมื่อ
ปี ๒๕๕๕ ผู้ต้องหาได้รับการอำนวยความสะดวกจากคนมีสีมาโดยตลอด
ไล่ตั้งแต่กรณีจัดหาแพะรับบาป การให้ประกันตัว ช่วยเหลือให้หลบเลี่ยงหนีคดี
ขณะเจ้าตัวมีท่าทีประวิงเวลามากว่า ๕ ปี เบี้ยวนัดอัยการ ๗ ครั้ง”
แต่แล้วลงท้ายสรุปว่าเชื่อเถอะ “ไม่มีทางจับตาบอส
– กระทิงแดงมาลงโทษอย่างแน่นอน” เพราะอะไรล่ะ
ก็ต้องไปดูท่าทางของผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นสัญญานบอกเหตุ
พล.ต.ท.ณัฐธร
เพราะสุนทร โบ้ยว่า “ขณะนี้เป็นเรื่องของกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ที่จะประสานติดตามตัว นายวรยุทธมาดำเนินคดี
และประสานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของประเทศอื่นให้ทราบสถานะของนายวรยุทธ
ว่าถูกเพิกถอนหนังสือเดินทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ส่วน ตม.
ของทั่นถ้าบอสเดินเข้ามา ‘ให้จับ’ ที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อไหร จะจับทันที ส่วนเมื่อเขาเข้าไทยเมื่อ ๒๓
เมษายน ไม่ได้จับเพราะตอนนั้นยังไม่มีหมายจับออกมาจากศาล
ครั้นเมื่อศาลอนุมัติหมายจับในวันที่ ๒๘ เม.ย. ที่ผ่านมา บอส อยู่วิทยา เหมือนนกรู้
ก็บินเหิรด้วยเครื่องส่วนตัวออกไปสิงคโปร์ล่วงหน้าก่อนแล้วสองวัน ตม. ทำอะไรไม่ได้
และไม่รู้จะเป็นอย่างนี้อีกนานเท่าไร เพราะ ตม.ไม่มีเบาะแสใดๆ
เลยว่าเวลานี้ผู้ต้องหาหนีไปอยู่ที่ไหน
แล้วทำไมกับผู้ต้องหา
๑๑๒ ถึงได้รู้ลึกเกินกว่าเจ้าตัวจะรู้ไปเสียเกือบทุกรายเลยล่ะ
ขนาดบางคนขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ซาน ฟรานซิสโกมาสามสี่สิบปี มุสลิมไม่ใช่ คนใต้ไม่มีทาง
ดันรู้ดีว่าเขาไปร่วมก่อการร้ายภาคใต้ซะงั้น
ความลักลั่นของกฎหมายที่ปฏิบัติต่อประชากรไม่เท่าเทียมกัน
เมืองไทยเดี๋ยวนี้เริ่มมีภาพบนกำแพงตามตรอกซอกซอยผุดขึ้นมาทัดทานอำนาจเผด็จการกันอีกแล้ว