วันจันทร์, พฤษภาคม 08, 2560

ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คดีหมิ่นฯ กษัตริย์ไทยคงถึง ๑๑๒ รายได้แน่

กว่าจะถึงวันครบรอบสามปีของการยึดอำนาจปกครองโดยทหาร คสช. ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผู้ต้องหาความผิดอาญามาตรา ๑๑๒ คงถึง ๑๑๒ รายได้แน่

ขณะนี้ก็เข้าไป ๑๐๕ คดีแล้ว ดังที่ประธานสหพันธ์สิทธิมนุษยชนนานาชาติประจำภาคพื้นเอเซีย ซึ่งมีสำนักงานกลางอยู่ในกรุงปารีส แอนเดรีย จีออร์เก็ตตา นับไว้ เสริมด้วยการคาดคะเนของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ด้วยว่า

“อาจจะมีคดีหมิ่นกษัตริย์เพิ่มอยู่ในมือของ นายกฯ นายพลอีกไม่รู้เท่าไหร่ เพราะการจับกุมและดำเนินคดีเลส มาเจสตี (ในประเทศไทย) นี้บางครั้งทำกันอย่างลับๆ และ (ถึงจะไม่ปิดก็) เพียงแย้มๆ เปิด”


น่าทึ่งที่บางกอกโพสต์บอกว่า อาจมีคนพูดว่าไม่ได้รู้สึกหรือน่าสังเกตุที่ประเทศไทยมีการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลังจากการรัฐประหาร ๑ คดีทุกๆ ๑๐ วัน ๖ ชั่วโมง ๓๗ นาฑี

“แต่ถ้าเอาสถิตินี้ไปเทียบเคียงกับคดีเลส มาเจสตีทั่วโลก ภายในเวลาไม่ถึงสามปีดีนี่ละก็ ประเทศไทยได้ ๑๐๕ ทั่วโลกแค่ศูนย์” เอาไปใส่ในสถิติโลกกินเนสได้แน่นอน

บางกอกโพสต์เอ่ยถึงคดี หมิ่นฯอื่นๆ อีกหลายรายที่ชาวโลกรับรู้ว่ามัน ‘odd’ ขาดวิ่นไม่ลงตัว รวมทั้งการควบคุมตัว ประเวศ ประภานุกูล ทนายความสิทธิมนุษยชนกับคนที่โดนคดี ๑๑๒ ในช่วงเดียวกันอีก ๕ เพียงแค่เปิดหูเปิดตารับรู้ภาพข่าวแปลกประหลาดเกี่ยวกับเจ้าไทยทางออนไลน์-อินเตอร์เน็ต

หลังจากที่มีการห้ามประชาชนติดตาม แบ่งปัน และต่อเติม ข้อความบนหน้าเฟชบุ๊คของสามบุคคล ต้องห้ามของ คสช. แต่ดังระเบิดทางหน้าสื่อสังคม สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ และแอนดรูว์ แม็คเกรเกอร์ มาร์แชล

แต่คดีที่ผู้ถูกกล่าวหาถูกกักขังมากว่า ๑๐๐ วัน ในข้อหาความผิด หมิ่นเจ้าที่คนอีกสองพันกว่าซึ่งทำแบบเดียวกันไม่โดน (หมายความว่าคนที่โดนคือ แพะแท้ๆ) ซ้ำต้นตอของข้อความซึ่งเป็นพลเมืองของนานาชาติไม่ระคายเคือง เนื่องจากเรื่องอย่างนี้ในสากลโลกไม่ใช่ความผิดแต่อย่างใด

ไผ่ ดาวดิน ผู้ต้องขังรายนี้ ได้รับรางวัล กวางจูแห่งเกาหลีใต้ ในฐานะนักสิทธิมนุษยชนสากลดีเด่น ที่นานาชาติควรควรยกย่อง องค์กรอันมีชื่อเสียงเป็นเด่นในภูมิภาคเอเซีย เจ้าของรางวัลถึงกับทำหนังสือเป็นทางการเรียกร้องให้นายพลหัวหน้ารัฐประหารไทยปล่อยตัวเขาไปรับรางวัล พบแต่การนิ่งเฉย ทนน้ำร้อน

แม้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขา Bow Nuttaa Mahattana จะถึงขั้น วิงวอนก็ดูเหมือนทั้งประเทศมีแต่ความสงบราบคาบ ไทยเฉยไม่เคยสะทกสะเทือนกับชะตากรรมของผู้ถูกกดขี่ ตราบเท่าที่มันยังไม่มาถึงตน

โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา เขียนบนหน้าเฟชบุ๊คของเธอว่า “รณรงค์ #ปล่อยไผ่ ร่วมทำกิจกรรมกันมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวที่โบว์จะใช้คำว่าวิงวอน ร้องขอความเมตตา ความกรุณา เพราะเราเชื่อว่าความเป็นธรรมควรมาจากการหยิบยื่น ไม่ใช่อ้อนวอน

แต่สำหรับการยื่นขอประกันตัวพรุ่งนี้ ขอใช้คำทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เพื่อการขอร้องให้พิจารณาด้วยเหตุผล เพราะเหตุผลที่เคยให้กันมันถูกต้องชัดเจนจนไม่เหลืออะไรให้ต้องพิจารณาอย่างยากเย็น ตั้งแต่เรื่องพฤติกรรมจำเลย สิทธิขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ...

แต่ครั้งนี้ ขออ้อนวอนให้มนุษย์ที่เกี่ยวข้องได้ใช้หัวใจ เปิดทางให้ #ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม ได้กลับมามีที่ยืนในใจคนสักครั้ง เชื่อเถิดว่า ไม่ว่าคุณจะมีความคิดความเชื่อแตกต่างกันมากขนาดไหน เราจะได้เก็บเกี่ยวผลของมันร่วมกัน”

ทั้งๆ ที่รู้ว่าคำวิงวอนเช่นนั้น มันมักจะลอยไปกับสายลม ในดินแดนที่ผู้คนถนัดกับการหมอบคลานกราบไหว้ แต่ก็มีหลายคนหวังว่าสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้บางคราว ถ้ากบทั้งหลายร่วมใจผนึกกำลังพากันออกนอกกะลาสู่หนองน้ำลึกใหญ่ ที่แม้แต่นกกระสาก็ไล่จิกไม่ถึง

ดูตัวอย่างในทางกลับ จากคดีความของทายาทมหาเศรษฐีระดับโลกตระกูล อยู่วิทยาณ ผู้สามารถเลี่ยงโทษฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ซ้ำผู้ตายเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มาเนิ่นนานกว่า ๕ ปี จนข้อหาหลุดไปได้แล้ว ๒ ใน ๔

บอส วรยุทธ์ อยู่วิทยา เพิ่งมาตกที่นั่งลำบาก ไม่สามารถใช้ชีวิตสำราญอย่างหรูหราท่องเที่ยวไปทั่วโลกเสมือนไม่เคยกระทำผิดอาญา ต้องมาหลบหนีซ่อนเร้นชนิดเจ้าหน้าที่ไทยไม่มีแม้แต่คิดว่าจะหาเจอ ถึงจะยังคงอูฟูก็คงไม่สำราญอย่างเดิมได้

เพราะนานาชาติเขามองเห็นว่านี่มันชั่วร้าย ไม่ถูกต้อง ร้องบ่นกันขึ้นมา จะเรียกว่าตบหน้าระบบบังคับใช้กฎหมายไทยก็ไม่เชิง เนื่องจากตบอย่างไร แรงแค่ไหนก็ไม่รู้สึก หน้าไทยใช้ศัลยกรรมพล้าสติกไม่อาจรับรสสัมผัสแรงกระทบเหมือนดั่ง fresh & blood ได้แล้ว

ความยุติธรรมมันเริ่มจากนอกบ้าน เมื่อสำนักข่าวเอพีไปดักถาม บอส ที่หน้าแฟลตในย่านผู้มีเกินกินของลอนดอน ว่าไฉนไม่ยอมไปปรากฏตัวตามนัดศาลไทยเสียทีสี่ห้าครั้ง ทายาท กระทิงแดงไม่ยอมปริปาก จากนั้นพากันย้ายหนี

จนเมื่อมีอดีตเนวี่ซีลนาม เวย์น เฮสส์ ทนไม่ไหว ออกมารณรงค์ให้บอยคอตเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อ เร็ดบุลที่โด่งดังสนั่นโลก ตามด้วยสปอนเซอร์แข่งรถสูตรหนึ่งสองราย เฟอรารี่กับเบ๊นซ์ไม่ยอมสังฆกรรมด้วยกับเร็ดบุลมาสองครา ประกาศว่าเพื่อกดดันเชิงจริยธรรมให้วรยุทธ์เข้าสู่กระบวนยุติธรรม

หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายงานว่า “ขณะนี้เหลือสองข้อหาที่จะเอาผิดกับบอส คือ ข้อหาไม่หยุดให้ความช่วยเหลือตามสมควร และ ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” กระนั้นหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็ยอมรับว่า

“ตั้งแต่เป็นคดีความเมื่อ ปี ๒๕๕๕ ผู้ต้องหาได้รับการอำนวยความสะดวกจากคนมีสีมาโดยตลอด ไล่ตั้งแต่กรณีจัดหาแพะรับบาป การให้ประกันตัว ช่วยเหลือให้หลบเลี่ยงหนีคดี ขณะเจ้าตัวมีท่าทีประวิงเวลามากว่า ๕ ปี เบี้ยวนัดอัยการ ๗ ครั้ง”


แต่แล้วลงท้ายสรุปว่าเชื่อเถอะ ไม่มีทางจับตาบอส – กระทิงแดงมาลงโทษอย่างแน่นอน” เพราะอะไรล่ะ ก็ต้องไปดูท่าทางของผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นสัญญานบอกเหตุ

พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร โบ้ยว่า “ขณะนี้เป็นเรื่องของกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะประสานติดตามตัว นายวรยุทธมาดำเนินคดี  และประสานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของประเทศอื่นให้ทราบสถานะของนายวรยุทธ ว่าถูกเพิกถอนหนังสือเดินทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

ส่วน ตม. ของทั่นถ้าบอสเดินเข้ามา ให้จับ ที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อไหร จะจับทันที ส่วนเมื่อเขาเข้าไทยเมื่อ ๒๓ เมษายน ไม่ได้จับเพราะตอนนั้นยังไม่มีหมายจับออกมาจากศาล

ครั้นเมื่อศาลอนุมัติหมายจับในวันที่ ๒๘ เม.ย. ที่ผ่านมา บอส อยู่วิทยา เหมือนนกรู้ ก็บินเหิรด้วยเครื่องส่วนตัวออกไปสิงคโปร์ล่วงหน้าก่อนแล้วสองวัน ตม. ทำอะไรไม่ได้ และไม่รู้จะเป็นอย่างนี้อีกนานเท่าไร เพราะ ตม.ไม่มีเบาะแสใดๆ เลยว่าเวลานี้ผู้ต้องหาหนีไปอยู่ที่ไหน

แล้วทำไมกับผู้ต้องหา ๑๑๒ ถึงได้รู้ลึกเกินกว่าเจ้าตัวจะรู้ไปเสียเกือบทุกรายเลยล่ะ ขนาดบางคนขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ซาน ฟรานซิสโกมาสามสี่สิบปี มุสลิมไม่ใช่ คนใต้ไม่มีทาง ดันรู้ดีว่าเขาไปร่วมก่อการร้ายภาคใต้ซะงั้น
ความลักลั่นของกฎหมายที่ปฏิบัติต่อประชากรไม่เท่าเทียมกัน เมืองไทยเดี๋ยวนี้เริ่มมีภาพบนกำแพงตามตรอกซอกซอยผุดขึ้นมาทัดทานอำนาจเผด็จการกันอีกแล้ว