โดย สรวิศ รุ่งเลิศมณีพงศ์ และ พิมพ์ชนก พุกสุข
มติชนออนไลน์
วันที่ 07 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
ยังคงเป็นห้วงยามที่นักวิชาการบ้านเราระมัดระวังการแสดงออก แม้วันที่มีเสียงระเบิดแผดลั่น 1 กุมภาพันธ์ 2558 บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าพารากอน
ใครบ้างจะไม่ตกใจ ใครบ้างจะไม่ตั้งคำถาม
แต่ใครบ้างที่กล้าพอ ส่งเสียงออกมาท่ามกลางความเงียบ ความหวาดหวั่นและสั่นกลัว
ใช่ แต่จะเพียงนักวิชาการ คล้ายว่าทั้งเอกชนและเจ้าหน้าที่จากหน่วยอื่นๆ ก็ยังปิดปาก จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ดูเหมือนการออกปากมาพูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้จะเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงไม่น้อย ชนิดที่ต้องบอกว่า "เลี่ยงได้ก็เลี่ยง"
กระทั่งในวันต่อมาที่เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น
ใช่แล้ว เธอคือเจ้าของเสียงนั้น - ลีน่าจัง หรือ ลีนา จังจรรจา เจ้าของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ฮอตทีวี ที่ออกมาขอร้องให้ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้หยุดสร้างสถานการณ์เสียที เพราะผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจในตอนนี้ก็ตกอยู่กับประเทศชาติ และแน่นอน-ประชาชนอย่างพวกเรา
หลายคนอาจรู้จักหรือสัมผัสกับเธอในภาพลักษณ์ของทนายความสาวปากร้าย นักจัดรายการทีวี กับเครื่องสำอางสีฉูดฉาด (ใครบ้างจะลืมอายไลเนอร์เส้นหนากับเปลือกตาสีฟ้านั้นได้ลง) เจ้าของเสียงแปดหลอด และครั้งหนึ่งเคยตกลงไปในคลองแสนแสบระหว่างหาเสียงผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากสังคมที่มีต่อเธอ ไม่ว่าจะเพี้ยน, บ้า และอาจหนักหนาถึง "ไม่มีราคา" ลีน่าจังก็ยังคงเป็นลีน่าจัง
"มติชน" มีโอกาสได้นั่งคุยสบายๆ กับผู้หญิงปากกล้า ว่าชีวิตหลังจากถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง ถูกสั่งปิดสถานีโทรทัศน์นั้นเธอเป็นอย่างไรบ้าง กินอยู่อย่างไร และเหตุใดจึงออกมาส่งเสียงดังในวันที่ทุกคนปิดปากเงียบยอมแพ้เสียงระเบิด
ไม่ใช่อยากดัง ไม่ใช่อยากมีชื่อเสียง
"เพราะจนตรอก" เป็นคำตอบสั้นๆ ที่ออกมาจากปากซึ่งเคลือบไว้ด้วยลิปสติกสีชมพูนั้น
ล่าสุดกับเหตุการณ์ระเบิดที่พารากอน
วันนั้นเราออกมาบอกว่าให้คนที่อยู่เบื้องหลังให้หยุดเเละยกเลิกกฎอัยการศึกเสียทีเพราะจริงๆคือเราเรียกร้องมาตลอดไม่ได้เพิ่งเรียกร้องเเต่ว่าไม่มีใครฟัง ไม่มีใครสนใจ เพราะเราเป็นเเค่คนเล็กๆ เว็บไซต์เล็กๆ เพราะฉะนั้นมีอยู่ทางเดียวคือไปที่จุดเกิดเหตุ จุดที่เกิดการระเบิด ซึ่งเป็นสถานที่ใจกลางเมืองที่ใครๆ ก็รู้จัก ชาวต่างชาติก็รู้จักพารากอน คนไทยแทบทุกคนก็รู้จักในฐานะห้างที่ดังที่สุดในประเทศไทย
ที่สุดแล้วเเม้เหตุการณ์ระเบิดนี้จะไม่ทำให้ใครเสียชีวิต มีผู้ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น เเต่ความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เฉพาะแต่สถานที่ แต่ได้ทำลายเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวของประเทศไทย รวมทั้งความเชื่อมั่นของคนทั้งประเทศและนักลงทุนอีกด้วย
ดังนั้น เราจึงออกมาบอกว่าให้หยุด เราไม่รู้ว่าใครทำ สิ่งที่ได้ออกไปตะโกนคือ พวกคุณหยุดได้แล้ว มัวแต่แย่งอำนาจกันไปมา สุดท้ายคนที่เดือดร้อนก็คือประชาชน คือพวกเรา พ่อค้าแม่ค้าหลายคนขายของกันไม่ได้ ชาวนาชาวสวนยาง เดือดร้อนก็ออกมาเรียกร้องไม่ได้ นี่คือเรื่องจริง ทุกคนไม่รู้จะพูดยังไง ไม่รู้จะทำกันยังไง ออกไปพูด ออกไปเรียกร้องก็ไม่ได้ ติดกฎอัยการศึก แต่ฉันเคยโดนเรียกไปรายงานตัวแล้ว ไม่เหลืออะไรจะเสีย เป็นเหมือนหมาจนตรอก จึงต้องออกมาเรียกร้อง
คิดว่าใครเป็นคนทำ?
เราไม่ได้เจาะจงไปว่าเป็นใคร เเค่คิดว่าเป็นไปได้ไหมที่จะมีใครออกมาสร้างสถานการณ์หรือเปล่า แต่เกิดความสงสัยว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่อง "กฎอัยการศึก" เพราะการเข้ามามีบทบาทของสหรัฐอเมริกาที่เข้ามากดดันในเรื่องนี้ในระยะหลัง
มีคนบอกว่าฉันไปใส่ร้ายทหารหรือเปล่า ไม่เคยเจาะจงว่าทหารเป็นคนทำ แต่ไม่ว่าคนสีใดก็ตามที่เป็นคนทำแบบนี้ สร้างสถานการณ์ มันเป็นการทำร้ายประชาชน ทำร้ายชาติ และเชื่อว่าคนที่ทำแบบนี้ต้องทำโดยมีวัตถุประสงค์
ลองวิเคราะห์ดูคิดว่า กปปส. จะออกมาทำหรือไม่ก็คงไม่ทำ เสื้อแดง ออกมาทำหรือไม่ก็คงไม่ทำ เพราะจะทำไปทำไม ในเมื่อทำแล้วไม่ได้เกิดผลดีแก่ตัวเอง มันไม่มีประโยชน์ เหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นมีแต่ทำให้ "กฎอัยการศึก" ยังคงอยู่ต่อไป มันก็แค่นั้น
การรักษาความปลอดภัยของกทม.?
คือกรณีนี้ทั้งหมดมันมีข้อสงสัยเยอะ ประจวบเหมาะอีกแล้วว่า กล้องวงจรปิดตรงนั้นมองไม่เห็นจุดที่วางระเบิด โดย กทม.ออกมาบอกว่าไม่มีกล้องอีกแล้ว เกิดเหตุทุกครั้งก็ไม่มีกล้อง กล้องไม่ทำงาน ซึ่งไม่รู้ว่าพูดเเบบนั้นได้อย่างไร อีกอย่างตรงนั้นคือจุดทำบัตรประชาชนของ กทม. มันจำเป็นต้องมีกล้องบ้าง ขนาดฉันกระจอกๆ ยังมีกล้องติดที่บ้านเลย เดี๋ยวนี้กล้องราคาถูกกว่าเดิมมาก ชุดนึงหนึ่งหมื่นบาท มีสี่ตัว
กทม. บอกได้อย่างไรว่าไม่มีกล้องโดยเฉพาะในพื้นที่สำคัญที่มีคนพลุกพล่านเป็นจำนวนมากเเบบนั้น เป็นพื้นที่การท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ ฉันไม่เข้าใจ
ประเด็นที่สำคัญเลยคือ "ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร" ฉันเจ็บปวดหัวใจ ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เรามีผู้ว่าฯกทม. หรือเปล่า ไม่เห็นโผล่ไปเลย ฉันไม่ได้เป็นผู้ว่าฯเลยนะ ขนาดฉันสอบตกตลอด เเต่ยังกล้าไปถึงสถานที่เกิดเหตุเลย แต่เขาเป็นผู้ว่าฯกทม. เขาสมควรไปดู เพราะสถานที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ทำบัตรของ กทม.
จริงๆ แล้ว อยากให้คนที่มีคุณสมบัติจริงๆ มีความกล้าหาญ เข้ามาทำหน้าที่ เราสงสารคน กทม. ที่ต้องร่วมชะตากรรมเดียวกัน เพราะในฐานะพ่อเมือง เรื่องใหญ่ขนาดนี้คุณต้องออกมาทำหน้าที่แล้ว
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
สิ่งที่ สนช. สปช. เสนอกันเข้ามาสุดท้ายแล้วมันทำไม่ได้หรอก อยู่ได้ไม่นานหรอก เพราะมันไม่ได้ฟังเสียงของประชาชน ไม่ได้จำกัดตีกรอบอำนาจทหาร ไม่ได้มีการป้องกันไม่ให้มีการปฏิวัติ ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะร่างรัฐธรรมนูญให้ดี ให้วิเศษแค่ไหน หากเกิดสถานการณ์แบบที่เกิดกันเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา สุดท้ายแล้วก็มีปฏิวัติอีก ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งอีกอยู่ดี สุดท้ายแล้วมันก็จะมีสถานการณ์ที่แรง สถานการณ์ที่ทำให้ประชาชนเห็นว่าเดินต่อไม่ได้แบบเดิมอีก หาเหตุผลสมควรในการออกมาปฏิวัติ ประชาชนจะได้ไม่ออกมาต้าน มันก็จะวนกันแบบนี้
ส่วนตัวฉันมองว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ดีที่สุดเเล้ว ดีที่สุดเลยเพราะเป็นฉบับของประชาชน ประชาชนมีส่วนร่วมในการร่างจริงๆ ในทุกๆ กระบวนการร่าง ไม่เหมือนอย่างทุกวันนี้ ตอนนั้นฉันเองก็ออกไปรณรงค์ ผู้หญิงผมเขียวๆ ถือธงใหญ่ๆ นั่นก็ฉันเอง รัฐธรรมนูญปี 2540 เหมาะสมกับเมืองไทยที่สุดเเล้ว เพราะเป็นฉบับของประชาชนคนไทย ที่ช่วยกันร่าง
ว่ากันเรื่อง พ.ร.บ.ไซเบอร์
"แย่" มันเป็นกฎหมายที่กำลังจะมาละเมิดสิทธิพวกเรา เรื่องนี้ประชาชนต้องออกมาเคลื่อนไหว จะอยู่เฉยกันไม่ได้ พวกเกรียนคีย์บอร์ดทั้งหลาย เลิกด่าลีน่าจังกันสักพัก เเล้วมาด่า มาร่วมต้าน พ.ร.บ.ฉบับนี้ด้วยกัน เพราะด่าลีน่าจังไม่ได้มีประโยชน์ ฉันไม่สามารถให้คุณให้โทษกับพวกเขาได้ เเต่ พ.ร.บ.ฉบับนี้มีคุณมีโทษกับพวกเขา
มองกันตามข้อกฎหมาย เห็นชัดๆ เลยว่าข้อมูลส่วนตัวของเราสามารถโดนล้วงได้หมดเลย ได้ในทุกสถานการณ์ ทุกโอกาส โดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบหากมีความเสียหาย ยึดคอมพ์ยึดมือถือเราได้โดยทันที จะบ้าเหรอมันเป็นอันตรายมากนะ อีกอย่างทหารอยู่ได้สักพักเดี๋ยวก็ต้องไป อยู่นานไม่ได้ เพราะมีแรงกดดันจากทั่วโลกที่เขาไม่ยอมรับ แต่ทีนี้พอหลังจากทหารไป นักการเมืองที่เข้ามาก็สามารถใช้กฎหมายพวกนี้มาเล่นงานเราได้เช่นกัน สามารถล้วงข้อมูลประชาชน 60 กว่าล้านคนอย่างพวกเรานี่แหละ
ลูกหลานเราเดี๋ยวนี้ต้องใช้อินเตอร์เน็ต ฉันยังติดเลย ไม่มีเน็ตไม่ได้ (หัวเราะ) มันติดมากนะจริงๆ ขนาดคนแก่ๆ ยังติด คนรุ่นใหม่ก็ติดยิ่งกว่าเรา ต้องมีความจำเป็นใช้มากกว่าเรา ฉะนั้นเราต้องออกมายับยั้งกฎหมายฉบับนี้ด้วยกัน ต้องออกมาแล้วบอกไปเลยว่าไม่ต้องมีหรอก ออกมาร่วมกันต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ เเละทำให้เขายกเลิก เพราะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างมาก
คิดอย่างไรกับท่าทีของ"อเมริกา"
หลังจาก นายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศด้านกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกของสหรัฐ ได้เข้ามาแสดงบทบาท จนสร้างความไม่พอใจให้กับคณะรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น สนช. สปช. คสช. ก็ต่างออกมาโจมตี นายแดเนียล ถึงขนาดที่ สนช.บางคนออกมา "ด่า" ซึ่งเราเห็นว่ามันไม่เหมาะสม
ความจริงฉันก็ไม่ชอบการกระทำของสหรัฐอเมริกาในหลายเรื่อง เเต่เรื่องเข้ามาบอกว่าให้ยกเลิกกฎอัยการศึก และให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด ฉันชอบนะ ฉันกลับรู้สึกว่าเขามาพูดในสิ่งที่เราต้องการ ในเเบบที่ผู้ประกอบการ พ่อค้าแม่ค้า หลายคนต้องการ เเต่ไม่มีใครกล้าพูด เราชอบตรงนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ถูกต้องและควรที่จะทำ
เลือกตั้ง?
อยากให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด คืนสิทธิและอำนาจให้กับประชาชน ความจริงแล้วต้องมีการเลือกตั้งภายในปีนี้นะ เพราะตอนแรก "ประยุทธ์" สัญญากับพวกเรานับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ว่า ขอเวลา 1 ปีในการเข้ามาแก้ไข และจะจัดให้มีการเลือกตั้งภายในปี 2558 มีเพลงคืนความสุขให้ประเทศไทย ที่ประยุทธ์เองก็เป็นคนแต่งว่า "เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน..." แต่กลายเป็นว่าสถานการณ์ที่เราเห็นนี่มันไม่ใช่ มันกลายเป็นปีหน้า หรือปีหน้าก็ยังไม่แน่เลยว่าจะได้เลือกตั้งหรือเปล่า ตอนนี้ไม่ใช่ "ขอเวลาอีกไม่นาน" กลายเป็นขอเวลาอีกนาน จนเราไม่รู้ว่าเมื่อไร
ตอนนี้เราโดนผิดสัญญาไปหนึ่งปี ถ้าไม่มีใครออกมาพูด ออกมาทวงสัญญา เพราะไม่แน่ก็ต้องยื้อยาวออกไปอีก ตอนนี้ต้องมีผู้กล้าที่จะออกมาพูดบ้าง ออกมาทวงสัญญากันบ้าง
ประเด็นถอดถอนยิ่งลักษณ์
จริงๆ รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มันถูกฉีกไปแล้ว มันไม่ควรมีการดำเนินการถอดถอน วุฒิสภาเองก็ไม่มีแล้ว ยิ่งลักษณ์เขาก็ไม่มีตำแหน่งให้ถอดแล้ว กระบวนการมันไม่ถูกต้อง อย่างในกรณีของฉัน มีคำสั่งของ คสช.ให้ กกต.สามารถทำหน้าที่ต่อ พิจารณาเรื่องคดีใบแดง-ใบเหลืองได้ต่อไป คำสั่งกลายเป็นกฎหมาย กรณีของฉันเลยโดนพิจารณาต่อไปได้ แต่ของกรณียิ่งลักษณ์มันไม่มี หน้าที่ในการถอดถอนก็ไม่ได้มีระบุในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ไม่ได้มีคำสั่งของ คสช. หรือกฎหมายที่มอบอำนาจให้ สนช. เป็นคนถอดถอน แล้วมันถอดได้ยังไง แต่พวกเขาจำเป็นเพราะทนกระแสไม่ไหว กลัวกระแสของ กปปส. จะออกมาขับไล่ จึงต้องเอาตัวรอดลดกระแส จะดีจะร้ายยังไงยิ่งลักษณ์ก็ต้องโดนถอดถอน
นิรโทษกรรม=ปรองดอง?
หากจะให้ปรองดองกัน ประชาชนจะรอดก็ต้องรอดทั้งหมด ไม่ติดคุก พวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่คนชั่ว ประชาชนที่ออกมาชุมนุมไม่ใช่คนไม่ดี เพียงแต่ความเห็นทางการเมืองมันต่างขั้วกัน ใจจริงเราก็อยากให้ได้รับนิรโทษกรรมทั้งหมด ฉันว่าศาลก็ไม่อยากให้พวกเขาไปติดคุก นี่เป็นความคิดของฉัน คดีของคนเสื้อแดง-กปปส. ประชาชนโดนกันระนาวเลย พันธมิตรเองก็น่าสงสาร สรุปแล้ว ถ้าปรองดองจะต้องรีบนิรโทษกรรมให้กับประชาชนทุกฝ่ายเป็นอันดับแรก
ส่วนแกนนำฉันก็เข้าใจนะมันเหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้ จะถอนตัวก็ไม่ได้ ลงมาทีก็โดนประชาชนด่า ฉันเข้าใจพวกเขาแต่มันก็ต้องดูกันไปตามกรณี
ทุกวันนี้ชีวิตเป็นยังไง
ไม่มีสักบาท เมื่อกี้ฉันขายเครื่องสำอางได้ 840 บาท ทั้งวันนะ รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายเครื่องสำอาง เมื่อก่อนเคยส่งออก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว ต่างชาติไม่มา ประเภทขายได้ทีละเยอะๆ แบบเมื่อก่อนไม่มีแล้ว เสื้อผ้าก็ไม่ได้ขายแล้ว เหลือเต็มเลย ปีนี้ขายของไม่ออกเลย
เป้าหมายในอนาคต
จริงๆ แล้ว เป้าหมายฉันสูงมากเลย ฉันอยากเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สอง จริงๆ นะ แต่มันเป็นความฝัน คนเราต้องมีความฝัน คนเราต้องมีเป้าหมายสูงสุดแล้ว คนเราต้องมีความหวัง ใครจะดูถูกว่าเป็นไปไม่ได้ก็ช่างเขา เเต่ฉันขออยู่เเบบมีความหวัง การมีความหวังมันทำให้เวลาคนเรามีปัญหาจะไม่คิดฆ่าตัวตาย เพราะถ้าชีวิตอยู่แบบไม่มีความหวัง เจอปัญหาแล้วเอาแต่นั่งร้องไห้อย่างเดียวไม่ได้ สุดท้ายแล้วมันก็คิดจะหนีจากปัญหา
หากเป็นนายกฯ ได้จริง จะรีบแก้ปัญหาราคาข้าวและยาง ต้องทำให้มีการเพิ่มมูลค่า โดยอาศัยการแปรรูป รัฐบาลต้องเปิดโรงงานแปรรูปเอง จะมามัวแต่ขายให้กับประเทศจีนไม่ได้ เพราะเดี๋ยวนี้ จีน-มาเลเซีย เองก็ปลูกแข่งกับเราแล้ว ราคาก็จะตกลง รัฐต้องมีการทำโรงงานแปรรูป ทำแพคเกจให้ดี เพิ่มมูลค่าแล้วจึงส่งออก
ข้อเสนอถึง พล.อ.ประยุทธ์?
1.ยกเลิกกฎอัยการศึก
2.เเก้ปัญหาราคายาง เเก้ปัญหาราคาข้าว โดยเร็วที่สุด
3.หยุดทะเลาะกับสื่อ เลิกเรียกไปปรับทัศนคติ เพราะสื่อมีหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน สิทธิของสื่อต้องได้รับการคุ้มครอง
4.เลิกยึดเวลาของเอกชน เอารายการทุกอย่างของ คสช. รายการของรัฐ เปลี่ยนไปออกทางช่องเอ็นบีทีของรัฐบาลแทน
พลิกมุมชีวิต
ที่มาเส้นทางนักกฎหมาย และเจ้าของมูลนิธิ "ลีน่าจัง"
หลายคนอาจจำเธอได้ในฐานะ นักการเมือง ผู้เต็มไปด้วยสีสันที่สุดคนหนึ่งในการเมืองไทย
แต่ในอีกมุมหนึ่ง เธอยังเป็น "นักกฎหมาย" และประธานมูลนิธิลีน่าจัง คอยให้คำปรึกษาแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ที่มาเป็นอย่างไร...
ลีน่า เล่าให้ฟังว่า ครึ่งหนึ่งเธอเคยถูกฟ้องติดคุก ทั้งที่ไม่ได้ทำผิด
"ตอนนั้นถูกแจ้งความว่าจ้างคนไปทำร้ายคนอื่น ทั้งที่ตำรวจไม่สามารถจับคนร้ายได้ แต่ศาลก็สั่งฟ้องให้จำคุกเป็นเวลา 1 ปี แต่ถือว่าโชคดีที่ปี พ.ศ.2539 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี จึงได้รับพระราชทานอภัยโทษ"
ด้วยความที่ไม่รู้เรื่องกฎหมายและไม่ได้รับความเป็นธรรมในขณะนั้น แปรเปลี่ยนเป็นแรงบันดาลใจให้เธอศึกษาต่อในด้านกฎหมายที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ภาคพิเศษ รุ่นแรก ในปี พ.ศ.2543 และใช้เวลาเพียง 3 ปีครึ่ง ในการเรียนจบ
นอกจากนี้ เธอยังได้รับเลือกให้เป็นประธานรุ่นในขณะที่สอบชิงตั๋วทนายอีกด้วย
โดยในระหว่างที่เรียนกฎหมาย ลีน่า ได้เริ่มก่อตั้งมูลนิธิลีน่าจัง ในปี พ.ศ.2544 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมายให้แก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
"ขนาดตอนนั้นฉันยังพอมีฐานะยังรู้สึกถึงความยากลำบากในการทำคดี มีเงิน มีหลักทรัพย์ ยังสู้คดีแพ้ แล้วประชาชนคนอื่นจะไม่ลำบากได้ยังไง จะเอาอะไรไปสู้
"ดังนั้น ถ้ากัดฟันเรียนรู้ ก็ช่วยเหลือทั้งตัวเอง และคนอื่นได้"
ทั้งนี้ ขณะที่เรียนเธอเองก็ได้เริ่มต้นวาดลวดลาย "จอมแฉ" โดยเฉพาะกรณี "โพยในห้องสอบ" จนเป็นที่ฮือฮาในตอนนั้น
"เพื่อนในรุ่นถึงกับแอนตี้ เพราะในตอนนั้นหลักสูตรพิเศษ มีคนมีฐานะมาเรียน ตอนนั้นเห็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง มีเพื่อนร่วมรุ่นบางคนพาอาจารย์ไปเลี้ยง เพื่อจะได้เอาโพยเข้าห้องสอบได้ พอฉันเอาไปแฉ เลยโดนเฉดหัวเป็นหมาหัวเน่า"
แต่วีรกรรมที่ทำให้เธอเป็นที่จดจำใน "ด้านบวก" ต้องย้อนกลับไปในปี พ.ศ.2553 โดยประธานมูลนิธิลีน่าจังคนนี้ ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ "เต็ม สมาน สุขเสริม" แม่บ้านของ นาธาน โอมาร์ โดยการให้เงินจำนวน 70,000 บาท เพื่อปลดหนี้โดยไม่มีเงื่อนไข และอาสาว่าความให้ฟรีๆ
วินาทีนั้นเธอสลัดภาพ "ลีน่าจัง" ผู้มากด้วยสีสัน ออกจนหมด และอยู่ในร่างของ "ทนายความ" ผู้ทรงภูมิ จนได้เสียงชื่นชมจากสังคมอย่างล้นหลาม และถึงขั้นเป็นกระแสในเว็บไซต์พันทิป
เรียกได้ว่าสร้างความตกตะลึงพรึงเพริด เพราะ
เธอไม่ส่งเสียง "แว้ด" ออกมาแม้แต่ครั้งเดียว
นับตั้งแต่ก่อตั้งมูลนิธิมา 14 ปี ทุกวันนี้ เธอบอกว่า ยังคงยินดีให้คำปรึกษาทางกฎหมายโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแก่ประชาชนอยู่เสมอ
เพราะสำหรับเธอ เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ
แต่ "ความยุติธรรม" สำคัญกว่า