วันเสาร์, พฤศจิกายน 11, 2566

อยู่ประเทศเสร็งเคร็ง ชีวิตก็จะเสร็งเคร็งเป็นธรรมดา ถามหน่อย เป็นคุณจะโทษใคร


Suwagee Klampaiboon
12h·

อยู่ประเทศเสร็งเคร็ง ชีวิตก็จะเสร็งเคร็งเป็นธรรมดา
ถามหน่อย เป็นคุณจะโทษใคร
โทษ...รถบรรทุกเกินน้ำหนัก
โทษ...ตำรวจเก็บส่วยรถบรรทุก
โทษ...ผู้รับเหมาฮั้วประมูลก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน
โทษ...ข้าราชการรับเงินใต้โต๊ะพวกฮั้วประมูล ก่อสร้างทำถนน
หรือโทษระบบระบอบที่มันเอื้อประโยชน์กับคนอุบาทว์จัญไรพวกนี้
.....
Poetry of Bitch
Yesterday·

สรุปไทม์ไลน์ จากรถบรรทุกตกหลุม กลายเป็นโป๊ะแตกส่วยสติกเกอร์ ไล่บี้กันมันส์หยดอย่างกับในหนัง
:
1- เที่ยงของวันที่ 8 พ.ย. 2566 รถสิบล้อคันหนึ่งบรรทุกดินเต็มคัน ขับมาจากไซต์ก่อสร้างคอนโดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ จะเอาดินไปเทที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม

2- แต่ขับออกมาได้ไม่กี่ร้อยเมตร พอมาถึงปากซอยสุขุมวิท 64/1 ซึ่งถนนตรงนั้นด้านล่างเป็นท่ออุโมงค์ขนาดใหญ่ที่การไฟฟ้านครหลวงทำไว้ในโครงการสายไฟลงดิน และเอาแผ่นคอนกรีตมาปิดไว้ ปรากฏว่าน้ำหนักรถทำให้แผ่นคอนกรีตทรุดตัว รถบรรทุกตกลงไปในหลุมเกินครึ่งคัน ไรเดอร์และแท็กซี่ที่ขับตามมาได้รับบาดเจ็บ รถติดสาหัสนาน 7-8 ชม.

3- ตอนแรกคนด่าเรื่องคุณภาพถนนก่อน แต่พอรูปรถบรรทุกถูกแพร่ออกไป คนเห็นสติกเกอร์รูปดาวสีเขียว+ตัวอักษร B ที่ติดไว้หน้ารถ เลยพากันสงสัยว่ามันเป็นสติกเกอร์ส่วยรถบรรทุกหรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็แสดงว่ารถบรรทุกน้ำหนักเกินจนทำถนนพัง

4- สติกเกอร์ส่วยรถบรรทุก ก็คือการจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้รถบรรทุกผ่านด่านตรวจและด่านชั่งน้ำหนักได้แม้รถจะผิดกฎหมาย เช่น บรรทุกน้ำหนักเกิน โดยจะให้สติกเกอร์มาติดหน้ารถไว้เป็นสัญลักษณ์ว่าคันนี้จ่ายส่วยแล้ว

5- ประธานสหพันธ์ขนส่งแห่งประเทศไทยออกมาแฉว่า สติกเกอร์ B นี้คือส่วยแน่นอน ใช้เคลียร์ในท้องที่นครบาล เป็นการจ่ายส่วยแบบเหมาจ่ายในระยะเวลาสั้น ๆ เช่น 10 วัน, 20 วัน สิทธิพิเศษสำหรับสำหรับสติกเกอร์นี้คือ บรรทุกน้ำหนักเกินได้ และวิ่งนอกเวลาที่กำหนดได้

6- กทม.ก็เลยจะชั่งน้ำหนักรถ+ดินเพื่อดูว่าบรรทุกเกินหรือไม่ แผนการคือตักดินไปใส่รถคันอื่นไว้ก่อน แล้วใช้เครนยกรถขึ้นมาชั่ง จากนั้นค่อยชั่งดินมาบวกกัน ซึ่งในขั้นตอนนี้การไฟฟ้านครหลวงก็ส่งเจ้าหน้าที่มาติดตามเต็มที่ เพราะถ้ารถบรรทุกน้ำหนักไม่เกิน การไฟฟ้าฯ อาจต้องรับจบเต็ม ๆ

7- แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะเจ้าของรถบรรทุกมาโวยถึงที่ ไม่ยอมให้ กทม.ยกรถเด็ดขาด อ้างว่ากลัวรถเสียหายจึงจะขอยกรถเอง “รถผมไม่ใช่ราคาหลักแสนนะครับ ราคาคันละ 4 ล้าน ถ้าเสียหายใครจะรับผิดชอบ”

8- สุดท้ายเจ้าของรถเลยเป็นคนตักดินและยกรถเอง แต่ดราม่าเกิดเพราะพอตักดินไปใส่รถคันอื่นแล้ว แทนที่จะให้เจ้าหน้าที่ชั่งก่อน ดันวิ่งกลับไปที่ไซต์งานแล้วเทดินทิ้งเลย ทั้งที่ กทม.ก็เอาเครื่องชั่งน้ำหนักเคลื่อนที่มารอแล้ว พอเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฯ ไปทวงถาม เจ้าของรถก็หัวร้อน ตะคอกใส่และบอกให้ไปเอาทนายมาคุย

9- อีกฝั่งหนึ่งเจ้าหน้าที่สาวทีมผู้ว่าฯ + การไฟฟ้าฯ ก็ไม่ยอมลดละ ขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ตามรถบรรทุกไปที่ไซต์ก่อสร้าง จะไปเอาดินมาชั่งให้ได้ แต่ทางไซต์รีบมาล็อกประตูรั้วไม่ให้เข้า เกิดการโต้เถียงกันแต่สุดท้ายก็เข้าไปไม่ได้เพราะจะเป็นการบุกรุก

10- สส.ก้าวไกลไปถาม ผกก.สน.พระโขนงว่าตำรวจปล่อยให้มีการยุ่งกับวัตถุหลักฐานได้อย่างไร ผกก.อ้างว่าเป็นช่วงชุลมุน คนเยอะ สื่อก็เยอะ ตำรวจพยายามแก้ปัญหาจราจร ช่วงนั้นรถบรรทุกได้เลี้ยวหลบออกไป แต่ สส.แย้งว่ารถคันตั้งใหญ่จะเลี้ยวหลบได้ยังไง และก็เห็นตำรวจเปิดกรวยให้อยู่

11- นอกจากนี้ยังมีพิรุธอีกหลายข้อที่ทำให้สังคมสงสัยว่าเจ้าของรถบรรทุกกำลังทำลายหลักฐาน และพยายามทำทุกวิถีทางให้น้ำหนักบรรทุกลดลงโดยมีตำรวจรู้เห็นเป็นใจ เช่น

ตอนยกรถบรรทุก มีคนจับภาพได้ว่ามีการถอดป้ายทะเบียนรถออก จึงตั้งคำถามว่าทำไมต้องถอด และใครสั่งให้ถอด

คืนนั้นทีมผู้ว่าฯ กทม.ไปสำรวจรถบรรทุกคันดังกล่าว พบว่ามีคนเอาแกลลอนขนาดใหญ่ไปถ่ายน้ำมันออกจากรถ โดยมีตำรวจอยู่ในจุดเกิดเหตุ แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร

12- ต่อมา ผกก.สน.พระโขนงให้สัมภาษณ์ว่า ที่รถติดสติกเกอร์ B เพราะเจ้าของรถชื่อ “บิ๊ก” (Big) ก็เลยติดชื่อย่อตัวเองไว้ เพื่อให้คนขับมองเห็นและจำรถได้ง่าย ๆ ส่วนบิ๊กโจ๊ก (รอง ผบ.ตร.) บอกว่าเป็นสติกเกอร์สำหรับเข้าไซต์งาน ในขณะที่ ผบ.ตร.บอกว่าควรมีหลักฐาน อย่ากล่าวหาเลื่อนลอยเพราะจะทำให้องค์กรตำรวจเสื่อมเสีย

13- หลังจากเจ้าหน้าที่-สส.ตามไล่บี้กันทุกช่องทาง ในที่สุดก็ได้ชั่งน้ำหนักรถบรรทุกคันดังกล่าว โดยตำรวจตามไปเอาดินที่ไซต์งานคืนมาได้สำเร็จ

14- ผลการชั่งพบว่าน้ำหนักรถ+ดินอยู่ที่ 37 ตัน ซึ่งมาตรฐานกำหนดคือ 25 ตัน (เกินมา 12 ตัน หรือ 12,000 กก.) ดังนั้นขั้นตอนต่อไปก็คือเอาผิดทางกฎหมายกับคนขับและเจ้าของรถ ซึ่งโทษสูงสุดอาจถึงขั้นยึดรถ ห้ามนำกลับไปใช้งานอีก

—————
สรุปและเรียบเรียงจาก: เรื่องเล่าเช้านี้, กรรมกรข่าวคุยนอกจอ, อมรินทร์ทีวี