Suchart Sawadsri
12h·
"ลอยกระทง" กับ "หมาขี้เรื้อน"
Benedict Anderson พูดถึง ”ความโหด” แบบ “ศรีดาวเรือง”
จากเรื่องสั้น “พระแม่เจ้าคงคา เถ้าแก่บัก และหมา” พิมพ์ครั้งแรก : ลลนา ปักษ์แรก พฤศจิกายน พ.ศ.2520
( เวลาของเรื่องสั้นเรื่องนี้ผ่านมา 46 ปีแล้ว )
--“ศรีดาวเรือง” พาผู้อ่านท่องไปตามภูมิประเทศอันขรุขระทางวัฒนธรรม ก่อนหน้านี้เทศกาลลอยกระทงเป็นพิธีกรรมยอดนิยมที่ชาวบ้านต่างทำกระทงของตัวเองพร้อมด้วยเทียนไขและเครื่องสักการะ แล้วลอยมันไปตามกระแสน้ำของลำคลอง ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างของคืนวันเพ็ญ ก่อนหน้านี้ชาวบ้านสามารถใช้วัดและจัดการแสดงพื้นบ้านตามประเพณีได้อย่างสะดวกในวาระสำคัญนี้ ทว่าตอนนี้กระทงส่วนใหญ่ทำจากโฟม และขายแก่ผู้มาเยือนโดยคณะกรรมการวัด กระทงได้สูญเสียความเป็นสัญลักษณ์ของความเลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านไปแล้ว และกลายมาเป็นวัตถุของการประชันขันแข่ง ที่ค่าธรรมเนียมในการส่งประกวดก็สูง จนมีแต่บรรดาภรรยาข้าราชการกับคนจีนในตลาดผู้มีอันจะกินเท่านั้นที่จะมีปัญญาเข้าแข่งด้วยได้ ตอนนี้กระทงถูกลอยอยู่ในแอ่งปูนตื้นๆกลางลานวัด “เสียงดังกระหึ่มอยู่ตลอดเวลา”ของเครื่องสูบน้ำเป็นลางบอกเหตุที่เสริมเข้ามาในความอึกทึกโกลาหลของงานวัด ดูเหมือนว่าเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงก็คือ คณะกรรมการวัดจะได้สามารถกวาดกระทง “ที่ใช้แล้ว”มาขายซ้ำให้กับผู้มาเที่ยวรายหลังๆได้อีก และทุกอย่างตั้งแต่การเข้ามาในบริเวณวัด การเข้ามาดูประกวด และการมาดูการแสดงท้องถิ่น ล้วนต้องจ่ายเงินทั้งสิ้น โฆษกวัดก็คอยส่งเสียงรบเร้าไม่หยุดหย่อนผ่านเครื่องขยายเสียงว่า เงินที่จ่ายไปจะได้ผลบุญกลับคืนมาทุกบาททุกสตางค์ ส่วนที่หน้าโรงลิเกนั้น คณะกรรมการโบว์สีฟ้าคนหนึ่งก็ร้องตะโกนขึ้นว่า
“..เอ้า รีบเข้าๆ ลิเกออกแขกแล้ว เดี๋ยวเก้าอี้หมดจะหาว่าไม่บอก..ค่าเก้าอี้คนละสามบาทเท่านั้น เงินได้มาก็ไม่ไปไหนเสีย.. เอาเข้าวัดหมด ถือเสียว่าดูลิเกเพื่อทำบุญร่วมกัน..เกิดชาติหน้าฉันใด จะได้...”
ด้วยการรู้เห็นเป็นใจของพระ งานบุญประเพณีกลายเป็นธุรกิจในมือของผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น พอๆกับพ่อค้าจีนท้องถิ่นอย่างเถ้าแก่บัก ครั้นงานเลิกรา ก็หลงเหลือแต่โฟมกองมหึมาที่ไร้ประโยชน์กระทั่งสำหรับหมาวัดขี้เรื้อนหิวโหยที่ขุดคุ้ยหาอาหาร
“ศรีดาวเรือง” ได้สรุปไว้อย่างขมขื่นว่า
.. หมาขี้เรื้อนนอนหนาวสั่นตัวนั้นก็ลุกเดินอย่างเหงาหงอย ออกไปก้มๆเงยๆที่กองขยะแห่งนั้น พร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดอย่างขัดใจ เพราะหาอะไรเป็นประโยชน์กับท้องอันแสนหิวของมันไม่ได้ มันก้มๆเงยๆ หันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะทำได้เพียงแค่หย่อนตูดลงขี้ไว้บนกองกระทงแห่งนั้น พร้อมกับตะกุยตีนสองสามทีและวิ่งออกจากวัดไปอย่างไม่แยแส
อารมณ์เย้ยหยันอันเยียบเย็นของประโยคสุดท้ายนั้น ( ซึ่งเย้ยหยันทั้งพระ คณะกรรมการวัด ข้าราชการ เจ้าสัว และบรรดาผู้มีศรัทธาแรงกล้าแต่อ่อนต่อโลก ที่ยอมให้ตนเองถูกปอกลอกโดยผู้จัดงาน ) โหดร้ายเสียยิ่งกว่าประโยคใดๆในเรื่อง หรือจะว่าไปแล้ว ยิ่งกว่าเรื่องใดๆในหนังสือเล่มนี้ ถือได้ว่าเป็นคุณภาพเฉพาะตัวในลีลาของผู้เขียน
------------
บางตอนจาก "บทกล่าวนำ" โดย Benedict Anderson
ในหนังสือ "ในกระจก : วรรณกรรมและการเมืองสยามมยุคอเมริกัน"
สำนักพิมพ์อ่าน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2553 ไอดา อรุณวงศ์ แปลและบรรณาธิการ