ประเด็น ‘ไม่ยืนในโรงหนัง’ ระหว่างเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี กลับมาเป็นปัญหาทางสังคมอีกครั้ง เมื่อมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจำนวนมาก
(ประมาณ ๒๐ คน) ไปควบคุมและตรวจตราไม่ให้มีคนนั่งเฉย ไม่ยอมลุกขึ้นยืนถวายความจงรักภักดี
ทั้งนี้เนื่องจากมีการนัดหมายโดยกลุ่มรณรงค์ทางเฟชบุ๊คชื่อ
‘นักการมีม’ ซึ่งต่อมาได้ปิดตัวเองลง หลังจากที่มีเจ้าหน้าที่ไปสอบสวน ผู้เป็น ‘แอ็ดมิน’ กล่าวกับ ‘บีบีซีไทย’ ว่า “ไม่คาดคิดว่าจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปในโรงภาพยนตร์เยอะขนาดนี้”
การรณรงค์ ‘Not Stand at Major
Cineplex’ ครั้งดังกล่าวเมื่อวันที่ ๓๑ ส.ค. ที่โรงภาพยนตร์
เมเจอร์ ซีนาเพล็ก สาขาสยามพารากอนนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมีการเปิดเผยโดยเพจ ‘ศาสนวิทยา’ ของ dr.Sinchai Chaojaroenrat แจ้งว่า
“ทางเมเจอร์มีมาตรการให้พนักงานตรวจเช็คผู้ใช้บริการ
ในช่วงเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนหนังฉาย หากพบว่ามีบุคคลที่ไม่ประสงค์ที่จะยืน
จะขอให้ออกจากโรงหนังก่อน แล้วค่อยกลับเข้ามานั่งใหม่ในช่วงที่หนังเริ่มฉาย”
ทำให้เกิดการนัดหมายไม่ยืนในโรงหนังระหว่างเปิดเพลงสรรเสริญฯ
“ครั้งแรก Paragon Cineplex ครั้งต่อไป โรงใกล้บ้านคุณ”
มีผู้แสดงความสนใจไปที่เพจจะร่วมกิจกรรมด้วยถึง ๔,๙๐๐ ราย
จึงปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ไปตรวจตรามากกว่าจำนวนผู้ไม่ยืนกว่าเท่าตัว
อย่างไรก็ดีบีบีซีไทยบอกว่าได้สอบถามไปยังกระทรวงวัฒนธรรมถึงการไม่ลุกขึ้นยืนระหว่างเพลงสรรเสริญพระบารมีฯ
ว่าเป็นความผิดหรือไม่ ได้รับคำตอบว่า “กำหนดให้ประชาชนยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี
ซึ่งมีโทษปรับและจำคุกหากใครไม่ปฏิบัติตามนั้น ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว”
‘ประชาไท’ เสนอรายงานในเรื่องเดียวกันนี้ว่า
เคยมีผู้ถูกดำเนินคดีจากการไม่ยืนแสดงความเคารพต่อเพลงสรรเสริญฯ ในรัชกาลที่ ๙
สามราย รายแรกเมื่อปี ๒๕๒๑ ถุกตัดสินจำคุก ๒ ปีในความผิดมาตรา ๑๑๒
ฐานที่ตะโกนระหว่างการบรรเลงเพลงสรรเสริญฯ ว่า “เฮ้ย เปิดเพลงอะไรโว้ย
ฟังไม่รู้เรื่อง”
อีกรายในปี ๒๕๕๑
ผู้ต้องหาถูกพิพากษาความผิดตาม ม.๑๑๒ ให้จำคุก ๓ ปี จำเลยรับสารภาพ
ลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน แต่ “เนื่องจากมีเหตุว่า
จำเลยมีประวัติมีอาการทางจิตและเคยผ่านการรักษาจากโรงพยาบาลจิตเวช”
จึงให้รอการลงอาญาไว้ ๒ ปี
อีกคดีเรื่องนี้เกิดขึ้น ๑๒ ปีมาแล้ว และอัยการสั่งไม่ฟ้อง
เมื่อ ๑๙ ก.ค. ๒๕๕๕ โดยมีความเห็นคล้อยตามพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ว่าการนั่งเฉยๆ
ของ โชติศักดิ์ อ่อนสูง จำเลยนั้น “ไม่ปรากฏพฤติการณ์อันจะมีลักษณะความผิด
ในฐานแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์”
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ “ผบ.ตร. มีความเห็นพ้องกับพนักงานอัยการ
คดีจึงเป็นอันยุติไม่ฟ้องคดี”
ในทศวรรษใหม่ รัชสมัยนี้
หากจะมีใครต้องถูกดำเนินคดีฐานไม่ยอมลุกขึ้นยืนระหว่างที่มีการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนการฉายหนังและการแสดงมหรสพต่างๆ
ก็จะกลับเป็นการสั่นสะเทือนสร้างความหวั่นไหว
ในการแสวงหาความสุขตามอัตภาพของประชาชนเข้าไปอีก
ในภาวะข้าวยากหมากแพง เดี๋ยวฝนแล้ง
เดี๋ยวน้ำท่วม เช่นที่เป็นอยู่ในยุค คสช. ๑ ต่อ ๒ นี้ ผู้คนยังรำลึกถึงคำของ ‘หนูดี’ จากโพสต์เก่าแก่ก่อนยุค คสช. ที่ว่า “พูดแล้วจะร้องไห้
น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...เพราะพวกเราจะตายกันหมด” ขึ้นมาอ้างอิงอยู่เสมอ
จากที่ @Pat_ThaiPBS รายงาน “หัวอกชาวนา” ต.วังโพรง อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก
กำลังจะลงมือเกี่ยวข้าว “แปลงนาสีทองเหลืองอร่าม” เมื่อ ๓๐ ส.ค. “ชั่วคืนเดียว
เจอฝนหนัก-น้ำไหลท่วมนามิด ๓๐ ไร่” อนาคตมลายไปต่อตา
แล้วยังดั่งว่า ‘ทัพบก’ กำลังจะเปิดยุทธการรุกฆาต ‘Blitzkrieg’
กับประชาชนอีกครั้ง เมื่อปรากฏว่าพรรคอนาคตใหม่ประกาศจะเสนอร่างกฎหมาย
‘ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร’ ซึ่ง พล.ท.พงศกร
รอดชมภู รองหัวหน้าพรรค ชี้แจงว่า
เป็น “การยกเลิกเกณฑ์ทหารแบบปัจจุบัน
โดยจะใช้วิธีการสมัครใจแทน แต่ยังคงไว้ซึ่งวิธีการเกณฑ์ทหารยามเกิดศึกสงคราม”
ส่วนการรับสมัครนั้นกำหนดให้ต้องจบมัธยมศึกษาตอนปลาย แล้วทำการฝึก ๕ ปี
(ปัจจุบันปีครึ่ง) และสามารถสอบบรรจุตำแหน่งได้ถึงยศพันโท
ทหารสมัครใจเหล่านี้เมื่อจบการฝึกจะกลายเป็นกำลังพล
‘สำรอง’ ที่เข้มแข็ง ผู้เสนออ้างว่าวิธีนี้จะทำให้ลดจำนวนกำลังพลลงได้
แล้ว “นำงบประมาณในส่วนนี้ไปเพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ ได้ประมาณ ๒ เท่า
รวมทั้งให้เป็นทุนการศึกษาจนสามารถเรียนได้จนจบปริญญาตรี”
ทว่าผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารแทนที่จะรับพิจารณาข้อเสนอ
กลับออกมาคัดค้านด้วยการอ้างว่าการเกณฑ์ทหารเป็นการช่วยชาติ ทั้งที่ในความเป็นจริงทางปฏิบัติทหารเกณฑ์กลายเป็นคนรับใช้แม่ทัพนายกอง
ทำงานบ้าน ล้างรถให้เจ้านาย ซักผ้าให้คุณนายกันเสียมากกว่า
มิหนำซ้ำ ทบ. เพิ่งประกาศ “เตรียมเปลี่ยนการฝึกทหารเกณฑ์
เป็นหลักสูตรพระราชทาน” ดังรายละเอียดที่ https://www.facebook.com/100001454030105/posts/2503424976382612?sfns=mo%2585