เขาคงนึกว่าคนไทยนี่ดักดานจริงๆ
หรืออย่างน้อยผู้ที่ออกเสียงเลือกพรรคภูมิใจไทยโง่เง่าเต่าตุ่น
ไม่เข้าใจความหมายของวลีอังกฤษ ‘Rest in Peace’ ในแฮ้สแท็ก #RIPTHAILAND อนุทิน ชาญวีรกูล ถึงได้บอกว่า “ประเทศจะได้สงบกันที
เพราะ Peace แปลว่า
สงบ”
มติชนสุดสัปดาห์รายงาน
“ในทวิตเตอร์นั้น แฮชแท็ก #RIPTHAILAND พุ่งขึ้นมาติดอันดับทั้งเทรนด์ไทย และ
เทรนด์โลก
นอกจากนี้
ยังมีแฮชแท็กที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นการเมือง อาทิ #NotMyPM #ธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ และ #นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ซึ่งประชาชนได้เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นทางการเมืองกันอย่างดุเดือด”
สื่อทางเลือกอย่าง
KonthaiUk
ขยายผล เพิ่มแฮ้สแท็ก #NeverGiveUp พร้อมขยายความ “คุณหญิงสุดารัตน์
เกยุราพันธุ์ ได้โพสต์ facebook ใจความสำคัญว่า
ความมุ่งมั่นของพวกเรา ๗ พรรคฝ่ายประชาธิปไตย
ซึ่งยึดมั่นต่อคำสัญญาที่ให ้ไว้กับประชาชนในช่วงหาเสีย งจนถึงวันโหวตเลือกนายกรัฐมน ตรี ที่จะหยุดยั้งการสืบทอดอำนา จ และนำพาระบอบประชาธิปไตยอัน มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประ มุขกลับคืนมา
กาลเวลาพิสูจน์ว่าเราไม่เคยทรยศประชาชน
และการยืนอยู่บนหลักการที่ถ ูกต้องจะทำให้เรายืดอกได้อย ่างภาคภูมิใจ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใ ด
ขณะที่คุณธนาธร
จึงรุ่งเรืองกิจก็กล่าวผ่าน twitter ว่า
เผด็จการจะไม่สามารถต้านทา นสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงได ้ตลอดไป ประชาชนจะร่ำร้องหาความเป็น ธรรมเพื่อคนรุ่นต่อไป
อย่าหมดหวัง มาร่วมกันสร้างการเมืองที่ส ร้างสรรค์
สร้างประชาธิปไตยด้วยกันต่อ ครับ”
ขณะที่ฟาก ‘เดอะสแตนดาร์ด’
อีกสื่อออนไลน์ค่อนข้างขาใหญ่ทุนหนา สรุปว่า “นโยบายถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้พรรค
#พลังประชารัฐ
สามารถกวาดเก้าอี้ ส.ส. และส่งผลให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับเลือกเป็น #นายกรัฐมนตรี
อีกสมัย”
นโยบายเหล่านั้นได้แก่
ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น ๔๐๐-๔๒๕ บาทต่อวัน ปรับอัตราเงินเดือนบัณฑิตอาชีวะ ๑๘,๐๐๐
บาท ปริญญาตรี ๒๐,๐๐๐ บาท แจกแม่เด็ก ๓ พันบาทต่อเดือน ออกลูกได้ ๑ หมื่นบาท
เลี้ยงดูเด็กจนถึง ๖ ขวบอีกเดือนละ ๒ พัน (นี่ถือเป็นนโยบายเพิ่มประชากรก็ได้นะ)
ยังมีเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ๑
พันบาทต่อเดือน ยกเว้นภาษีการค้าออนไลน์ ๒ ปี พักหนี้กองทุนหมู่บ้าน ๔ ปี
ลดภาษีส่วนบุคคล ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ตั้งกองทุนหมู่บ้านแห่งละ ๒ ล้านบาท
ทั้งหมดนี่เรียกว่า ‘ประชารัฐ’ ไม่เรียก ‘ประชานิยม’ เพราะพวกคนที่กวักมือเรียก
คสช.เข้าไปยึดอำนาจด่าสาดไว้มาก
ยังมีนโยบาย ‘ดันถัน’ ฝรั่งเรียก ‘push up (bras)’ มาใช้กับราคาผลิตผลทางการเกษตร คุยว่าข้าวหอมมะลิจะได้ตันละ ๑ หมื่น ๘
พันบาท ข้าวเจ้าหมื่นสอง อ้อยพันบาทต่อตัน ยางกิโลละ ๖๕ บาท ปาล์มจะถึง ๕ บาท
มันสัมปะหลัง ๓ บาท
ตั้งไว้เป็นนโยบาย แต่ทำจริงหรือทำแล้วได้แค่ไหนไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน
ในเมื่อรัฐบาลที่ผ่านมาก็คนกลุ่มเดียวกันนี้แหละ (ส่วนมากเป็นทหาร) ที่แย่งอำนาจเขามาบริหารเองเป็นเวลา
๕ ปี เหลือแต่น้ำเต้าน้อยถอยลง ถอยลง
ตัวอย่าง แค่ข้อมูลล่าสุดสดๆ
ออกมาจากสภาพัฒน์ฯ หรือ สศช. ชี้ว่า “หนี้สินครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น”
โดยไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๑ “หนี้สินครัวเรือนเท่ากับ ๑๒.๘ ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น ๖.๐% และคิดเป็นสัดส่วนต่อ
GDP เท่ากับ ๗๘.๖% เพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน”
ทางด้านสังคมนั้นพบว่า ในไตรมาสแรกของปี
๒๕๖๒ เทียบกับปีที่แล้ว คดีอาญา (รวม) เพิ่มขึ้น ๕.๑%
คดียาเสพติดก็เพิ่มขึ้น ๗.๔%
การบริโภคแอลกอฮอลและบุหรี่เพิ่มขึ้น ๒.๙% และ ๑.๕% ตามลำดับ ทำให้แนวโน้มประชาชนเสียชีวิตจากสิ่งเสพติดเพิ่มขึ้น
เยาวชนก็เป็นโรคซึมเศร้ากันมากขึ้นด้วย
(https://www.posttoday.com/economy/591409
และ https://www.facebook.com/konthaiuk.protect.democracy/photos/a.519810514720729/2284008751634221/=-UK-R)
จะอ้างว่ารัฐบาลใหม่เนี่ยไม่ใช่มีแค่พลังประชารัฐพรรคเดียว
ยังมีอีก ๑๘ พรรคระดมสมองช่วยกันได้คนละไม้ละมือ เรื่องสมองนั่นละไว้ไม่พูดถึง
แต่เรื่องไม้มือไม่แน่ใจนักแล้ว ในเมื่อโหวตเสร็จสรรพ ทุกพรรคอยู่ในแถวให้ประยุทธ์เป็นนายกฯ
แล้วอ้าว จะล้มดีลเสียนิ
ไม่ทันข้ามคืน พปชร.เตรียมประชุมกันด้วยแรงกดดันของกลุ่ม
‘สามมิตร’ “พิจารณาในรายละเอียดให้เกิดความเหมาะสม
และอาจต้องมีการเกลี่ยกระทรวงใหม่อีกครั้ง เพื่อขอคืนกระทรวงพาณิชย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงคมนาคม”
อย่างนี้ ปชป.ก็หน้าหงาย อุตส่าห์เสียสัตย์เพื่อรักษาหน้าตาของพรรคเอาไว้ได้ร่วมรัฐบาล
นึกว่าจะ ‘ได้ดี’ แบบครั้ง
‘ราบ ๑๑’ แต่นี่ทำท่าจะกลายเป็น ‘ได้ดิบ’ ไปเสียฉิบ
เลยโดนอดีตรองนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย กิตติรัตน์
ณ ระนอง เหน็บเอาแสบมากว่า “หัวหน้าพรรคใหญ่จะพูดกับพรรคขนาดกลางแบบนี้ไหมหนอ...พวกคุณยังไม่รักษาคำพูดกับประชาชนที่เลือกคุณมา
แล้วทำไมผมต้องรักษาคำพูดกับพวกคุณ”