ยังดีนะเมื่อวันก่อนประยุทธ์ไปเลคเชอร์แค่เรื่องพัฒนาเกษตรกรรมไทย
ให้พวกแม่ๆ ทีมหมูป่าติดถ้ำหลวงฟัง อวดภูมินิดหน่อยเรื่องสารกลูเต็นในข้าวมีน้อย ที่นายกฯ
ยึดอำนาจอ้างว่าเฉพาะที่มีอยู่ในข้าวไทย ซึ่งผิดข้อมูลความจริงไปเล็กน้อย
เพราะข้าวไหนๆ สัญชาติอะไรก็กลูเต็นน้อยด้วยกันทั้งนั้น
ตอนนั้นนึกว่าประยุทธ์จะฉวยโอกาศโฆษณาชวนเชื่อเรื่องเศรษฐกิจไทยยุค
คสช. เสียอีก เพราะก่อนหน้านั้นสองวัน (๒๗ มิ.ย.) สำนักงานเศรษฐกิจการเงินและคลังเพิ่งแถลงผลการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ
๘ เดือนแรกของปี ๒๕๖๑
ว่าช่วงตุลาคม ๖๐ ถึงพฤษภาคม ๖๑ “รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ
จำนวน ๑,๕๗๑,๗๘๘ ล้านบาท
สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ ๖๐,๐๐๘ ล้านบาท
หรือร้อยละ ๔.๐” ทั้งนี้เนื่องจากมีผลการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น
และการจัดส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ สูงกว่าประมาณการ ๒๕ เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ทั้งสองรายการ
แต่ครั้งลงรายละเอียดผลการจัดเก็บของกรมสรรพากร
แม้จะสูงกว่าเมื่อช่วงเดียวกันปีที่แล้วเกือบ ๕ เปอร์เซ็นต์ ก็ยังต่ำกว่าประมาณการไปหมื่นกว่าล้าน
เพราะ ‘ภาษีมูลค่าเพิ่ม’ หรือ VAT เก็บได้ต่ำกว่าประมาณการไปเกือบ ๑ หมื่น ๘
พันล้านบาท
ขณะที่ภาษีจากปิโตรเลี่ยม
ยังคงเก็บได้สูงกว่าประมาณการ ๑ หมื่น ๘ พันล้านบาทเช่นกัน แต่ว่าภาษีสรรพสามิตเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการไป
๕ พันกว่าล้าน เช่นเดียวกับภาษีศุลกากรเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการเหมือนกัน
ลดลงไปพันกว่าล้าน
อ่านข้อมูลคร่าวๆ ตรงนี้ได้ความว่า
แม้รายได้เข้ารัฐจะเพิ่มขึ้นในช่วง ๘ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๖๑
แต่เศรษฐกิจก็ยังไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีขึ้นเท่าไร ในเมื่อภาษีสรรพากรที่ได้ไม่เท่าประมาณการ
ซ้ำจากแว้ทเก็บได้น้อยลง แสดงว่าการซื้อขายในระดับรากหญ้ายังซบเซา
อย่าลืมว่า ‘แว้ท’ เป็นรายได้หลักของชาติ
อันมาจากการจับจ่ายใช้สอยระดับชาวบ้าน อันทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนกระปี้กระเป่า เป็นจักรกลอันสำคัญสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
เป็นแก่นของระบบเศรษฐกิจชนิด ‘มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน’ ที่ คสช.แอบอ้าง
อีกทั้งรายได้จากรัฐวิสาหกิจที่เพิ่มขึ้น
ถ้ามองในแง่ร้ายที่เป็นเรื่องดีของ คสช.ไว้หน่อย อาจจะเกิดจากการผ่องถ่ายรายได้ไปเข้ากระเป๋าส่วนตัวของบรรดากรรมการ
(อันเต็มไปด้วยทหาร) ลดลงเพราะ คสช. เอาจริงเรื่องปราบคอรัปชั่น
ไม่ควรทำให้เสียหน้า
เศรษฐกิจหมุนเวียนอีกอย่างของไทยคือตลาดหุ้น
ที่ปรากฏว่าตกอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยๆ สองสามเดือนที่ผ่านมา
เนื่องเพราะทุนต่างชาติไหลออกไม่หยุด นี่ถ้าอ่านอย่างพื้นๆ
ไม่ต้องวิลิดสะมาหราอย่างนักวิเคราะห์หุ้นได้ว่า เพราะความมั่นใจของนักลงทุนต่างด้าวถดถอยลงไปจากเศรษฐกิจไทย
อีกทั้ง “เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า
๘ เดือน ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดสัปดาห์นี้ที่ระดับต่ำสุดในรอบ ๑๐ เดือน” ตามที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสรุปความเคลื่อนไหว
แม้จะอ้างปัจจัยภายนอกประเทศ ที่ว่า “เป็นทิศทางที่สอดคล้องกับเงินหยวน
และสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค”
และชี้นิ้วไปที่ “แรงกดดันจากแรงขายสุทธิหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติในช่วงต้น-กลางสัปดาห์
ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์สงครามการค้าโลก
โดยเฉพาะการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน” ก็ตาม
ตามธรรมดาเมื่อค่าเงินอ่อนตัวจะช่วยเสริมการส่งออกและทุนนอกไหลเข้า
แต่สภาพการณ์ยังไม่มีแววจะเป้นเช่นนั้น จึงแสดงว่าเศรษฐกิจไทยในระดับปากท้องชาวบ้านยังแย่
เหตุการณ์ทีมฟุตบอลเยาวชนหมูป่าหายไปในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน ที่ทั่วโลกให้ความสนใจและช่วยเหลือค้นหากันมา
๘ วันแล้วยังไม่มีข่าวดี ผู้คนใจจดจ่อกับข่าวนี้ทำให้ คสช.ลอยตัว
แต่ความรู้สึกไม่พอจะกินในหมู่ประชาชนมิได้เหือดหายไป
สังเกตุจากโพลล่าสุดของ ‘นิด้า’ ความเห็นผู้ถูกสำรวจร้อยละ ๕๔.๘๘ “ระบุว่า ภาพรวมเศรษฐกิจแย่ลง เพราะราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ
รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย และราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น”
ตรงนี้พอดีมีเรื่องราคาสับปะรดที่ประยุทธ์เองก็เอ่ยถึง
ระหว่างอวดความรู้ด้านเกษตรกรรมกับพวกแม่ๆ เด็กหายในถ้ำหลวง มีหลักฐานจากทวี้ตของ @Drizzzle เมื่อ Jun 29 “นี่ลงมาซื้อขนมเห็นรถชาวสวนมาแจกสับปะรดแลกเงินบริจาค
เห้ย คือนี่มันวิกฤติแล้วนะ เศรษฐกิจมันขนาดไหนแล้วอะ”
มีคนถามว่า “แถวไหนเหรอคะ” เธอตอบว่า “บางนาค่ะ...ตึกเนชั่นค่ะ
ไปได้นะคะ บางนาตราด กม. ๕ ค่ะ” จะ จะ ใจกลางพระนครนี่เอง เช่นนี้เมื่อนิด้าโพลถามถึง
“ความเชื่อมั่นในการบริหารงานของรัฐบาล และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น”
ไหม
ได้คำตอบจากเสียงส่วนใหญ่
๕๖.๖๔% “ไม่มีความเชื่อมั่น
เพราะนโยบายและโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ไม่ได้ช่วยประชาชนทุกระดับอย่างแท้จริง”
ถ้างั้นคิดว่าทำไงถึงจะให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้
ผู้ตอบส่วนใหญ่
“ร้อยละ ๖๐.๖๔ ระบุว่า เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น ต่างชาติจะเข้ามาลงทุนมากขึ้น
เนื่องจากมีความมั่นใจต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง” อย่างนี้นี่ละ จึงได้เห็นเผด็จการในคราบนักการเมืองเดินสายหาเสียงถึงหน้าถ้ำ