สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มือวางเศรษฐกิจของ
คสช. ที่แม้จะใช้แผนนโยบายหลายอย่างตามโมเดล ‘ไทยรักไทย’
แต่นี่สี่ปีเข้าไปแล้วยังไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ประกาศซัลโวเฮือกสุดท้าย
“ไล่บี้เมกะโปรเจ็คคมนาคม วงเงินกว่า ๒.๔ ล้านล้าน”
เขาเผยว่า “ช่วงระยะเวลา ๗-๘ เดือนที่เหลือก่อนจะมีการเลือกตั้งภายในปี ๒๕๖๒ ได้เร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมประมูลงานโครงการขนาดใหญ่ที่ค้างอยู่ให้แล้วเสร็จ”
ภายในสิ้นปีนี้ “ห้ามล่าช้าอีกเด็ดขาด”
แน่นอนว่ารองนายกฯ หัวแรงสำคัญของ คสช.
ด้านเศรษฐกิจ ย่อมต้องการสร้างผลงานไว้เป็นทุนสำหรับหาเสียงเลือกตั้ง นำ ประยุทธ์
จันทร์โอชา กลับมาเป็นรัฐบาลอีกในนามพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งสมคิดเป็นหัวแรงก่อตั้งเช่นกัน
เป็นที่คาดหมายว่าทีมเศรษฐกิจของสมคิดภายใต้รัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจโดยประยุทธ์
จะยกขบวนกันไปร่วมรัฐบาลประยุทธ์อีกรอบหลังเลือกตั้ง ไม่ว่า รมว.พาณิชย์ สนธิรัตน์
สนธิจิรวงศ์ หรือ รมว.คมนาคม อุตตม
สาวนายน และ รมว.คมนาคม อาคม เติมพิทยาไพสิฐ
ล้วนกระตือรือล้นกับเมกะโปรเจ็คเหล่านี้เป็นพิเศษ
อุตตม สาวนายน |
โครงการยักษ์ใหญ่ อย่างระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก
หรือ อีอีซี ที่หมายชูหน้า คสช. ต่อไปถึงพลังประชารัฐ ก็ยังฝืดอยู่เป็นอันมาก ต่างชาติหลักๆ
เช่น ญี่ปุ่น จีน อียู อเมริกา ที่หวังให้มาร่วมลงทุน ต่างตกปากรับคำเพียงเป็นพิธี
และก็ยังเนือยๆ กันทั้งนั้น
ล้วนรั้งรอให้ผ่านการเลือกตั้งเสียก่อน แท้ที่จริงเขายังไม่แน่ใจว่า
คสช. จะจัดให้มีเลือกตั้งแน่หรือไม่ หลังจากที่เลื่อนมาแล้ว ๕ ครั้ง หรือกระทั่ง
คสช. ดันไปได้อย่างปากว่า ก็ไม่แน่ว่าจะออกมาในรูปใด ฝ่ายตรงข้ามโดนเตะตัดขาล้มไประนาว
จนคะแนนพรรคลิ่วล้อ คสช.ท่วมท้นไหม เป็นต้น
การทุ่มเททั้งบทบาทและงบประมาณแก่เมกะโปรเจ็ค
เป็นสัญญานว่า คสช. หรือ ‘regime’ คณะปกครองของประยุทธ์มุ่งมาตรจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งอย่างแน่นอน
จึงต้องแสดงให้เห็นรูปธรรมของโครงการต่างๆ ก่อนจะมีการเลือกตั้ง
โครงการฝันเฟื่องอย่าง ‘ไทยแลนด์ ริเวียร่า’
หรือถนนเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย
เป็นทางคู่เลียบขนานไปกับถนนเพชรเกษม
และการยืดเส้นทางรถไฟความเร็วสูงต่อจากชุมพรไปถึงสุราษฎร์ เพื่อรอต่อไปยังระนองและฝั่งทะเลอันดามัน
วางไว้รอทีมประชารัฐทำต่ออีกสมัย
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ |
แล้วยังโครงการสร้างถนนเชื่อมต่อถึงเส้นทาง
‘belt and
road’ ของจีน อ้างว่าเพื่อจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางกลุ่มประเทศ CLMV และโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ รวมทั้งการอนุมัติโครงการจัดซื้อเครื่องบินชุดใหม่ของการบินไทย
เป็นวงเงินถึง ๑ แสนล้านบาท ไปจนถึงการเพิ่มเรือเส้นทางสัตหีบ-หัวหิน และการขยายท่าเรือแหลมฉบัง
เหล่านี้เป็นเมกะโปรเจ็คที่สร้างขึ้นบนฉากหลังของเศรษฐกิจที่กำลังทรุดโทรมย่ำแย่
ตรงข้ามกับคำคุยของพวกทหารตัวใหญ่ๆ ใน คสช.ทั้งสิ้น เอาแค่สดๆ กรณีเรือนำเที่ยวสำราญน่านน้ำภูเก็ตล่มอับปาง
๓ ลำช่วงฤดูมรสุมนี้ และเรือนักท่องเที่ยวจีนลำหนึ่งผู้เสียชีวิตกว่า ๔๐ คน
เป็นผลให้ลูกค้าจีนแจ้งระงับการจองที่พักและยับยั้งการท่องเที่ยวไทยกันจำนวนมาก
อย่างดีก็เปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นเที่ยวภูเขาและน้ำตกแทน (ไม่ใช่ถ้ำ)
แรงกระทบไม่เพียงภูเก็ตเท่านั้น การท่องเที่ยวทางเรือของเกาะสมุยซึ่งเคยเป้นแหล่งของนักท่องเที่ยวจีนเช่นกัน
ก็พลอยตกฮวบไปด้วย
บริษัทนำเที่ยวของสมุยรายหนึ่งเปิดเผยว่า
ช่วงนี้เป็นฤดูที่นักท่องเที่ยวจีนจะแห่กันไปสมุยจำนวนมาก
โดยเฉพาะที่เป็นทัวร์เหมาลำเครื่องบินไปลงสนามบินสุราษฎร์ธานี ระหว่าง ๑๕ ก.ค. ถึง
๑๕ ก.ย. เคยมีนักท่องเที่ยวจากจีนเข้าวันละ ๒-๓ เที่ยวบิน ตอนนี้เหลืออาทิตย์ละ ๓
เที่ยวบิน
กรณีนี้ชัดเจนที่สุดว่าภาพลักษณ์ทางธุรกิจการบิน
มันย้อนแย้งกับโครงการซื้อเครื่องบินใหม่ของการบินไทยชนิดหน้ามือกับหลัง....จึงช่วยไม่ได้ที่มีคนย้อนถามอย่างแสบให้ว่า
“ทำไมไม่เอาเงินจากการขายตั๋วและดำเนินกิจการไปซื้อเครื่องบินใหม่ล่ะครับ
ทำไมต้องเอาภาษีประชาชนไปจ่าย เงินซื้อเครื่องบินใหม่ควรมาจากการขายตั๋วสิครับ”
Tar @Talearm
เจ้าของทวี้ตเขาความจำไม่สั้น “จำตอนจำนำข้าวที่เหล่าชาวการบินไทยออกมาประท้วงได้ไหมครับ
ชาวการบินไทยสำนึกหรือยังครับ”
กล่าวกันว่าพนักงานการบินไทยนั้นเต็มไปด้วยเส้นสายและผู้ลากมากดี
จะจริงมากหรือน้อยอย่างไรก็ไม่ควรให้คนทั้งประเทศต้องไปอุ้มสมกิจการค้ากำไร
ที่ขาดทุนติดต่อกันมาหลายปีดีดัก และหนักก็ในช่วง คสช. ครองเมืองนี่แหละ
ในขณะที่โดยรวม
ประเทศไทยยังมีการตกงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง “รายงานตัวเลขการว่างงานของเดือน
มิ.ย. ๒๕๖๑ พบว่า มีคนว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น ๔๒๖,๐๐๐ คน “ถือว่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือน
มิ.ย ๒๕๖๐ จำนวน ๑๑,๐๐๐ คน และหากเทียบกับเดือน พ.ค.๒๕๖๑ เพิ่มขึ้น
๒๔,๐๐๐ คน โดยกลุ่มระดับการศึกษาปริญญตรี ยังเป็นกลุ่มว่างงานมากที่สุด
มีจำนวน ๑๗๐,๑๐๐ คน”
จำเพาะเจาะจงลงไปที่ตัวเลขว่างงานตามกลุ่มอาชีพ
ซึ่งเป็น “พนักงานบริการ และพนักงานในร้านค้าและตลาด” ติดอันดับสองรองจากอาชีพเกษตรและการประมง
ดังนั้นเมื่อมีการลดจำนวนนักท่องเที่ยว ก็น่าจะทำให้มีจำนวนคนว่างงานมากขึ้นด้วย คือ
๗.๒๙ ล้านคน
อย่างน้อยๆ
กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่าเมกะโปรเจ็คไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จรูปว่าจะทำให้ประเทศเจริญ ‘มั่งคั่ง’ เสมอไป
หากสักแต่ว่าคิดแผนขึ้นมา (ลอกจากของเก่า) ไม่ดูตาม้าตาเรือ อุ้มสมพวกพ้องของตน