๒๖ ก.ค. ทักษิณ ชินวัตร ฉลองวันเกิดอายุครบ
๖๙ ปีของเขาอย่างเอิกเกริกในกรุงลอนดอน เป็นวันเกิดที่เขาบอกว่ามีความสุขที่สุด
และยังต้องการ ‘กลับบ้าน’
แม้นว่าตุลาการระบอบรัฐประหารได้เพิ่มหมายจับเขาเป็นฉบับที่
๕ ในฐานที่ไม่ไปศาลโดยไม่แจ้งเหตุในคดีหวยบนดิน และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
เพิ่งมีคำสั่งฟ้อง พานทองแท้ ลูกชายในข้อหาฟอกเงิน จากการแลกเช็ค ๑๐ ล้านเกี่ยวเนื่องกับคดีสหกรณ์คลองจั่น
แต่การรุกของเครือข่ายระบอบรัฐประหาร นอกจากไม่ระคายเคืองต่ออดีตนายกรัฐมนตรีผู้เร่ร่อนอยู่ต่างประเทศอย่างอูฟู
และขยายขอบข่ายธุรกิจมั่งคั่งยิ่งขึ้นไปอีก แล้วยังดูเหมือนว่าเขาจะกำลังเป็นต่อ
ถ้าหากเปรียบมวยกับกลุ่มการเมืองฝ่ายรัฐประหาร
ในเมื่อนักการเมืองคนหนึ่งที่บินไปร่วมฉลองวันเกิดทักษิณที่ลอนดอน
ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย หรืออดีตพรรคพลังประชาชน หรือไทยรักไทย
หากแต่เป็นอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
คู่กัดไม้เบื่อไม้เมาของทักษิณและพรรคเพื่อไทย ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
ยิ่งไปกว่านั้น อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์อีกคนที่ไม่ได้เดินทางไปร่วมงาน
แต่โพสต์ข้อความอวยพรแก่ทักษิณอย่างยาวเหยียด
ไล่เรียงเหตุการณ์ที่ทำให้ทักษิณต้องระเห็ดไปรวยอยู่เมืองนอก นี่ก็ ๑๑
ปีเข้าไปแล้ว
เนื้อความในข้อเขียนของ นคร มาฉิม อดีต
ส.ส.พิษณุโลก ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่หากไม่บอกชื่อว่าใครเขียน
คงต้องคิดว่าเป็นผู้รักประชาธิปไตยไฟแรงคนหนึ่ง
ซึ่งมีศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อผลงานการบริหารประเทศของทักษิณ
เขาเริ่มต้นจดหมายถึงนายก ทักษิณ ชินวัตร
ด้วยการท้าวความว่าเคย “อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับท่าน” แต่ก็ “ต้องยอมรับความจริงว่า
ท่านบริหารชาติบ้านเมืองได้ดี...ต้องยอมให้ในการบริหารงานของท่านว่าเก่งมาก”
ขนาด “ผมอยู่ฝ่ายตรงข้ามก็มองอย่างแปลกใจว่าเป็นไปได้อย่างไร
ทำไมท่านจึงชนะใจประชาชน และเหตุใดพวกเราจึงพ่ายแพ้ต่อท่านอย่างยับเยิน ทั้งที่พวกเราและแนวร่วมฝ่ายอนุรักษ์นิยม...ได้ใช้สรรพกำลังทุกองคาพยพอย่างเต็มที่แล้ว”
สรรพกำลังเหล่านั้นมีทั้งฝ่ายการเมือง
ฝ่ายทหาร และข้าราชการประจำ “ที่สำคัญที่สุดและแนบเนียนที่สุดคือ
ฝ่ายตุลาการระดับสูงบางคนที่เชื่อมั่นและศรัทธาฝ่ายเผด็จการอนุรักษ์นิยม ในนามตุลาการภิวัฒน์
ร่วมกันขย้ำท่าน”
นครเล่าความต่อไปอีกว่า
แม้การยึดอำนาจ ยุบพรรค ตัดสิทธิ์ทางการเมือง รวมทั้งการยึดอำนาจซ้ำ “เพื่อตอกฝาโลง...ท่านกับน้องสาวจะต้องไม่อยู่ในประเทศ
เพราะถ้าท่านอยู่พวกเราคงจะไม่ได้มีโอกาสชนะและกลับมาครองอำนาจเป็นแน่”
ไม่ว่าเขาจะถูกก่นด่าจากสมาชิกพรรคเดียวกันว่าเช่นไร
ข้อความที่เขียนไว้สะท้อนให้เห็นวิชามารทางการเมืองของพวกอนุรักษ์นิยมแจ้งชัดว่า “กระบวนการทำลายประชาธิปไตยทำลายอำนาจของประชาชนจึงมีอยู่จริง
ไม่ใช่เป็นแค่เพียงทฤษฎี แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะนี่มันคือสงคราม”
กระนั้นเขาก็ขอร่วมอุดมการณ์เดียวกัน
ประกาศตัวมายืนอยู่ข้าง ‘ประชาชนและประชาธิปไตย’ ทำสงครามกับฝ่าย ‘เผด็จการและแนวร่วมฝ่ายเผด็จการ’
“ขอร่วมสู้กับท่านและเหล่าวีรชนฝ่ายประชาธิปไตย
เพื่อนำพาประเทศไทยของเราให้ข้ามพ้นจากความขัดแย้ง ข้ามพ้นจากยุคมืดของเผด็จการ
ที่กดขี่ข่มเหงพวกเรา”
แน่ละ
มันเป็นนัยยะหลังจากที่ทักษิณให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยก่อนหน้านี้ ว่าเขาพยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
เพื่อคืนสู่สังเวียนเช่นเดียวกับมหาเธร์ของมาเลเซีย
แม้นว่าเขาถอยหลังไปหน่อยหนึ่งเมื่อพูดถึงประเด็นนี้ในงานวันเกิดว่า ‘ล้อเล่น’
ทว่าหลังจากเสียงเพลงแฮ้ปปี้เบิ๊ร์ธเดย์จบลง
เขาขอเข้าสู่โหมดการเมืองด้วยการกล่าวกับบรรดาสมาชิกพรรคเพื่อไทย
อย่าได้กังวลเรื่องดูด ใครจะไปก็ ‘อวยชัยให้เขาไปดี’ ประมาณนั้น
ส่วนประเด็นอื่นนอกเหนือจากนี้ยังไม่เปิดต่อสาธารณะ
กระนั้นดูเหมือน
‘พลังดูด’ ชักจะเริ่มสั่นคลอน หากไม่เช่นนั้นก็เป็นชั้นเชิงการเมืองแบบ ‘ลับ ลวง พราง’ ของ คสช. เมื่อ สมศักดิ์ เทพสุทิน
หนึ่งใน ‘สามมิตร’
ที่ออกเดินสายคุยอดีต ส.ส. หลายพื้นที่ จนหลายรายทิ้งพรรคเดิมประกาศตัวร่วมก๊วนด้วย
พยายามแทงกั๊กว่า
“เป็นการไปแลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นกับเกษตรกรทั่วไป
ของนายภิรมย์ พลวิเศษ เลขากลุ่มสามมิตร ใครถนัดทางไหนก็ว่ากันไปตามนั้น”
ครั้นถูกถามว่า “เปลี่ยนไปเป็นสีเขียวกันใช่ไหมล่ะ” สมศักดิ์ตอบว่า
“ถ้าเรามองไม่ถึงแก่นของข้อเท็จจริงก็อาจจะพูดอย่างนั้น
ก็มีสิทธิพูด แต่ถ้าเรามองแล้วว่าเขาทำให้เกิดความสงบสุขได้
มันก็ต้องพิจารณาดูให้ดี เราไม่ใช่ถือปืนทะเลาะกัน เราอยากให้เกิดแนวทางมัชฌิมา...
ส่วนจะอยู่พรรคพลังประชารัฐหรือไม่นั้นถึงเวลาก็จะทราบเอง
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่สะเด็ดน้ำพูดไปก็จะเกิดความวุ่นวาย”
“ถามว่า
ที่บอกว่าหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นจะหนุนในแนวทางใด
จะเชิญมาเป็นที่ปรึกษาพรรคหรือนำมาใส่ในบัญชีรายชื่อเพื่อเป็นนายกฯรอบสอง
นายสมศักดิ์กล่าวว่ายังไม่ถึงตอนนั้น เอาไว้ก่อน”
พริ้วทีเดียว สมกับที่มีคนเอ่ยถึงว่า เป็นนักการเมืองที่เอาตัวรอดได้จากสถานการณ์รัฐประหารหลายต่อหลายครั้ง
ยึดทางสายกลาง ‘มัชฌิมา’
เสียอย่าง อยู่ตรงกลาง ‘ใครมาก็มาด้วย’