ไหนว่าเศรษฐกิจดีขึ้นเรื่อยไง
ไฉนประธานกรรมการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจแห่งยุค คสช.ครองเมือง จึงบอกว่า “อาการของประเทศไทยเหมือนกับ
‘ผู้ป่วยเรื้อรัง’ ที่รัฐบาลพยายามจ่ายยาหลายขนาน
แต่อาการกลับไม่ตอบสนอง”
ไม่ตอบสนองอย่างไร “เรื่องแรกคือ
ปัญหาความเหลื่อมล้ำ...” คนไทย ๑๐% หรือประมาณ ๗ ล้านคน
มีชีวิตใต้เส้นความยากจน “คนไทย ๑๐% ที่มีรายได้สูงสุดและต่ำสุด
มีรายได้ห่างกันถึง ๒๒ เท่า” และ “คนไทยมากกว่า ๗๕% ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง
ขณะที่ฉโนดกว่า ๖๑% อยู่ในมือคนแค่เพียง ๑๐%”
เหมือนว่าสัญญลักษณ์ประเทศไทยคิดเป็นตัวเลข
ก็แค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ทั้งหัวและท้าย ขณะที่อัตราการเติบโตวนเวียนอยู่ในระดับ ๔% ทำให้ “มองอนาคตยิ่งท้าทาย เพราะไทยเริ่มก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย”
วัยเดียวกับพวกครองอำนาจขณะนี้
ปัญหาอยู่ที่ “ฐานกำลังคนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะน้อยลง
ขณะที่ประเทศในภูมิภาคประชากรส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ในเชิงเศรษฐกิจจึงเปรียบเอาคนแก่ไปสู้แรงกับคนหนุ่มสาว”
จึงทำให้ “โอกาสที่คนไทยจะแก่ก่อนรวยและจนตอนแก่ จะมีมากขึ้น”
แต่ว่าพวกคนแก่ที่ครองอำนาจขณะนี้รวยไปแล้ว
เหลือแต่คนแก่ส่วนใหญ่ยังไม่รวย จึงต้องไปแย่งเด็กกินกันต่อไป
ทั้งที่อดีตผู้ว่าการธนาคารชาติ ประสาร
ไตรรัตน์วรกุล ชี้ว่า “กลไกและบทบาทของภาครัฐไม่เอื้อต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” เนื่องมาจาก
“ทิศทางการพัฒนาที่เน้นปริมาณอย่างหยาบๆ ที่แน้นแค่จีดีพี โตปีละมากๆ
โดยไม่ดูคุณภาพ”
ประจวบกับผู้ปกครองที่เป็นเผด็จการอยากฟอกขาวตัวเองให้ดูดีในการครองอำนาจยาวๆ
จึงออกหน้าว่าส่งเสริมการค้าเสรีแบบ ‘มือใครยาวสาวได้สาวเอา’
เลยร่วมมือกับเจ้าสัวสร้างประชารัฐแบบมีพลังทางการเมืองสูง
หนุนผู้เผด็จการได้กลับมาเป็นนายกฯ อย่างอิงการเลือกตั้ง
แต่ว่าการก้าวตามโลกาภิวัฒน์ของไทยไม่สามารถทันการพัฒนาเทคโนโลยี่โลกได้
เนื่องจาก “ฉันทามติร่วมกันของคนในสังคมที่ว่า
ประชาธิปไตยเป็นระบอบการเมืองที่นำพาประเทศไปสู่สังคมที่พึงปรารถนานั้น
เริ่มไม่ชัดเจน” จากการที่ “อีกข้างเริ่มเสื่อมศรัทธากับประชาธิปไตย”
และแล้วปัญหาก็วนกลับไปที่เดิม “การที่ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยสั่นคลอนเกิดจากปัจจัยอย่างน้อย
๓ ประการ คือ ผลของกระบวนการโลกาภิวัตน์ วิกฤตการเงินโลก และการแบ่งขั้วทางความคิดในสังคมที่ชัดเจนขึ้น”
เช่นนี้แล้วสังคมจะไปทางไหน
ในเมื่อสิ่งที่เกิดในช่วงยึดอำนาจกว่าสี่ปี ทั้งทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคมมีแต่ 'ความสิ้นหวัง'