วันเสาร์, กรกฎาคม 28, 2561

คดีแหวนเป็นตัวอย่างสว่างจ้าของความ 'อธรรม' ในระบบยุติธรรมไทย


“คดีของณัฏฐธิดากลายเป็นตัวอย่างสว่างจ้าของการเอาเปรียบและความอธรรมในระบบยุติธรรมไทยภายใต้การครองอำนาจของคณะทหาร”

เป็นประโยคสรุปของสุนัย ผาสุก นักวิจัยอาวุโสประจำภาคพื้นเอเซียขององค์การฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ ต่อคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ไทย ที่ศาลทหารพิจารณาข้อกล่าวหาต่อ แหวนหรือณัฏฐธิดา มีวังปลา พยาบาลอาสาสมัคร

เธอเป็นพยานปากสำคัญผู้เห็นเหตุการณ์ทหารฆ่าประชาชนในวัดปทุมวนาราม ซึ่งเพื่อนอาสาสมัครของเธอ ๖ คนเสียชีวิตจากกระสุนสไน้เปอร์ของทหาร ในการสลายชุมนุมราชประสงค์ เมื่อพฤษภาคม ๒๕๕๓

“ตราบใดที่ณัฏฐธิดายังถูกคุมขังอยู่ โอกาสที่เหยื่ออธรรมในการปราบปรามประชาชนอย่างเหี้ยมโหดที่สุดครั้งนี้จะได้รับความยุติธรรม มีน้อยนิด ซ้ำร้ายไปกว่านั้น” สุนัยปิดท้ายบทความ

“ทหารและพวกแม่ทัพนายกองจะเต็มไปด้วยความมั่นใจว่า คราวหน้าถ้าพวกเขาทำเช่นนี้อีก ก็จะสามารถหลุดรอดข้อหาฆาตกรรมได้ไม่ยาก”


แน่นอน คณะทหารสร้างความมั่นใจว่า แหวนจะไม่มีทางได้ให้การปรักปรำเจ้าหน้าที่ทหารในคดี ๖ ศพวัดปทุมฯ ได้เลย เมื่อเธอโดนทั้งข้อหาปาระเบิดใส่ศาล (ซึ่งได้ประกันตัวออกมาสู้คดี แต่ก็โดนจับกุมทันที แล้วจึงแจ้งข้อหา ม.๑๑๒) และความผิดฐานส่งต่อข้อความทางไลน์ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพรัชกาลที่ ๙

ในการนัดสืบพยานคู่ปากของโจทก์ เมื่อวันที่ ๒๐ ก.ค. หลังจากที่แหวนถูกจำคุกมาแล้วสามปีกว่า เนื่องจากความล่าช้าในการทำคดีของศาลทหาร ไม่ค่อยพิจารณาต่อเนื่องอย่างศาลพลเรือน อ้างว่าเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ และพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่มักขอเลื่อนนัดบ่อยๆ

ทนายจำเลยเตรียมเงิน ๙ แสนบาทที่ได้มาจากการรณรงค์ขอบริจาคในหมู่ผู้รักความเป็นธรรมและยึดมั่นประชาธิปไตย เพื่อยื่นประกันขอปล่อยตัวชั่วคราว แต่ก็ถูกศาลทหารปฏิเสธด้วยเหตุผลเพียงว่า “ไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นอย่างอื่น”

ทำให้แหวนต้องถูกจำคุกต่อไปอีกอย่างน้อยๆ จนกระทั่งการนัดสืบพยานโจทก์ครั้งหน้า วันที่ ๔ กันยายน แม้นว่ากองทุนประกันตัวแหวนมีผู้บริจาคเป็นวงเงินรวมกว่า ๑ ล้าน ๕ หมื่นบาทแล้ว
 
วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายจำเลยให้รายละเอียดบางอย่างแก่สื่อ หลังศาลทหารเสร็จการพิจารณาลับเมื่อวันที่ ๒๐ ว่าพยานทั้งสอง (พล.ต.วิจารณ์ จดแตง และ พล.ต.ต.สุรศักดิ์ ขุนณรงค์) ซึ่งเป็นผู้ร่วมซักถามจำเลยในอีกคดี “ได้ให้การขัดแย้งกับข้อเท็จจริงเอง”

ต่อข้อหาที่ว่าแหวน “เป็นคนที่อาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์หรือเป็นกลุ่มต่อต้านสถาบัน” ทนายนำหลักฐาน “หนังสือเชิญฉบับจริงจากมูลนิธิ ๕ ธันวามหาราช เมื่อปี ๒๕๕๖ เพื่อให้พยานได้เห็นว่าแหวนได้ร่วมจัดงานเป็นการแสดงความจงรักภักดี”

กลับถูกอัยการคัดค้านไม่ให้นำส่งเอกสาร “อ้างว่าไม่เกี่ยวกับพยานปากนี้” ทำให้ทนายซักค้านว่า “ที่พยานกล่าวหาจำเลยเป็นผู้ไม่จงรักภักดีต่อต้านสถาบันนั้นเกิดจากอคติของพยานหรือไม่  ทั้งๆ ที่จำเลยปฏิเสธข้อหาและยืนยันความบริสุทธิ์มาตลอด”

ประการสำคัญในข้อสังเกตุเรื่องอคตินี้ปรากฏจากหลักฐานกล่าวโทษที่มี “เพียงภาพถ่ายหน้าจอสมาร์ทโฟนที่ระบุว่า มีข้อความการสนทนาบนแอพพลิเคชั่นไลน์ (Line) ของแหวนเพียงแผ่นเดียวและเพียงข้อความเดียว”

ไม่มีหลักฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์อื่นประกอบ ที่จะสามารถใช้เปรียบเทียบอ้างได้ว่า “มีข้อความที่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนกับข้อความในเอกสารหลักฐานแต่อย่างใด"

ยิ่งไปกว่านั้นหลักฐานภาพถ่ายหน้าจอสม้าร์ทโฟนดังกล่าวของพยาน เป็นข้อความเมื่อวันที่ ๘ มีนา ๒๕๕๘ วันเดียวกับที่แหวนถูกควบคุมตัว และเจ้าพนักงานได้นำเอารหัสผ่านเข้าบัญชีไลน์ของแหวนไปแล้ว


ทั้งที่หลักฐานพยานและคำให้การของฝ่ายโจทก์ อ่อนหรือ ‘flawed’ ถึงเพียงนี้ ศาลทหารก็ยังดึงดันลากคดีของแหวนต่อไป ประดุจดังว่าเพียงต้องการคุมขังเธอต่อไปเรื่อยๆ

ที่ซึ่งทนายวิญญัติประเมินว่า ในการสืบพยานโจทก์ ๙ ปาก กับพยานจำเลย ๑๐ ปาก ด้วยมาตรฐานการทำงานอย่างเชื่องช้าของศาลทหาร คงจะต้องถูลู่ถูกังต่อไปอีกอย่างน้อย ๒ ปี

หากเวลานั้นยังไม่มีรัฐบาลพลเรือนแล้วละก็ โอกาสที่คดีของแหวนจะได้รับการพิจารณาโดย ‘speedy trial’ ตามมาตรฐานแห่งสิทธิของการถูกดำเนินคดีในประเทศอารยะตะวันตก จะยิ่งริบหรี่ลงไปอีก ไม่นับข้ออ้างอย่างชุ่ยๆ ต่อไปในการปฏิเสธประกันที่ว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลง