มันใช้เวลาไม่นานพฤติการณ์แห่งนิสัยซ้ำซาก
(ส.ด.) ก็ปรากฏ ปฏิเสธอยู่หลัดๆ
ว่ามาเริ่มตั้งพรรคนี้เพื่อมวลมหาประชาชนจะได้มีส่วนร่วมทางการเมืองกันอีก ตนเองไม่ขอรับตำแหน่งบริหารใดๆ
และจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยซ้ำไป
แต่การกระทำก็คือผู้บงการหัวหน้าพรรค
กับเจ้าของพรรคตัวจริง
คำพูดก็อย่าง การกระทำอีกอย่าง
ใครจะว่าตระบัดสัตย์ ตอแหล หรือแค่วาทกรรม ไม่สำคัญ แต่การลงพื้นที่อีสานย่านทุ่งกุลาร้องไห้ของสุเทือกกับ
(ลูก) น้องๆ นั่นก็คือปูพื้นหาฐานคะแนนเสียงสำหรับการเลือกตั้ง
และร่วมจัดตั้งรัฐบาลที่หวังไว้ในปีหน้า
พรรค รปช. หรือ รวมพลังประชาชาติไทยที่ สุเทพ
เทือกสุบรรณ เคยพูดไว้ตอนเริ่มก่อตั้งว่าเพื่อสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี (แบบ ‘คนนอก’) เพื่อที่คณะยึดอำนาจได้ครองเมืองต่ออีกสี่ซ้าห้าปีหลังจากมีการเลือกตั้ง
แต่เดี๋ยวนี้เห็นทีจะเปลี่ยนแผนมาเป็นนายกฯ
คนในแทน เมื่อสามแกนนำ ‘สุเทือก-เอนก-ยะใส’ ไปอุ้มสมขอ ‘กอดคอ ต่อสู้เคียงข้างกัน’ กับชาวบุรีรัมย์ สุรินทร์ และร้อยเอ็ด ที่เพจ ติ่งการเมือง เก็บภาพมาลงไว้ แล้ว Thanapol
Eawsakul เอาไปแซวว่า
“แค่ผ้าขาวม้าก็วัดเรทติ้งแล้วว่า ใครคือตัวจริง
ใครคือตัวประกอบ จากซ้ายไปขวา ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ (ลำปาง) นายสุเทพ
เทือกสุบรรณ (สุราษฎร์ธานี) ดร.สุริยะใส กตะศิลา (ศรีสะเกษ)”
ไม่รู้ว่าพรรคของสุเทือก-เอนก-ยะใส จะ ‘ฟังเสียงประชาชน’ และ “ฟังประชาชน ประชาชนเป็นคนคิด
นักการเมืองเป็นคนทำให้สำเร็จตามเจตนารมณ์ของประชาชน” โดยไม่อ้าง ‘มวลมหา’ ได้แค่ไหนอย่างที่สร้างสโลแกนขึ้นใหม่ใช้หาเสียง
นั่นเป็นแผนการณ์สองง่ามควบคู่ไปกับกิจกรรม
‘ดูดดะ’ ของฝ่ายเทคโนแครทลิ่วล้อ
คสช. ซึ่งอิงอ้างงบประมาณมหาศาลของรัฐสร้างโครงการมเหาฬาร ไว้เป็นผลงานต่อเนื่องครองเมืองสมัยหน้า
แล้วขนานนามตนเองให้ดูดีว่าพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การจัดตั้งของ สมคิด
จาตุศรีพิทักษ์
พรรคนี้เป็นอดีตนักการเมืองที่กระโดดหนีตีจาก
เมื่อ ‘ระบอบทักษิณ’ พ่ายแพ้ เรียกพวกตนเองว่า ‘สามมิตร’ นอกจากสมคิดแล้วก็มี สมศักดิ์ เทพสุทิน แห่งกลุ่มมฌิมา และสุริยะ
จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหัวหอกปฏิบัติการสร้างฐานหัวคะแนนจากการดูด
ซึ่งดูเหมือนจะดูดออกก็แต่อาจมที่อยู่บนๆ ต้นท่อ
แต่ดูดไม่ได้ไม่ถึงส่วนที่ตกผลึกย่อยสลายกลายเป็นเนื้อนาดินไปแล้ว ดังกรณีอดีต ส.ส.อำนาจเจริญ
พรรคเพื่อไทย สมหญิง บัวบุตร ผู้เปิดโปงว่า “ที่ผ่านมามีคนติดต่อทาบทามให้ย้ายไปอยู่พรรคใหญ่
๒ พรรค เพื่อแลกกับคดีความ ถ้าหากย้ายไปก็จะไม่มีคดีติดตัว”
รายนี้เป็นประธานสตรีจังหวัดอำนาจเจริญ พูดพาดพิงในโอกาสการลงพื้นที่ของประยุทธ์และคณะ
“ไปดูงานและพบปะประชาชนที่ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ บ้านหนองเม็ก ต.นาแต้
อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ” ว่าจะไม่ไปต้อนรับคณะของประยุทธ์อย่างแน่นอน
“ตนมีความเชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทยไม่เสื่อมคลาย
และมีจุดยืนยืนชัดเจนที่จะอยู่กับพรรคเพื่อไทยต่อไป” จึงได้ “ปฏิเสธและกล่าวขอบคุณที่หวังดี”
ต่อการทาบทามนั้น และถึงแม้ “บางคนอาจไม่ใช่เสื้อแดงจริง ถ้าเสื้อแดงแท้
จะมีอุดมการณ์รักประชาธิปไตยอย่างเหนียวแน่น”
ขณะที่แผนการณ์ ‘พลังประชารัฐ’ ก็ชักจะขายไม่ออกเหมือนกัน อย่างน้อยๆ
ในมิติของ ‘โครงการไทยนิยมยั่งยืน’ ที่มุ่งสร้างฐานเสียงจากนโยบายที่ตั้งชื่อไว้โคตรนาฏกรรมว่า
‘ท่องเที่ยวชุมชน โอท้อปนวัตวิถี’
ในเมื่อมี ๓
หมู่บ้านของจังหวัดพิษณุโลกประกาศขอคืนงบประมาณ ๒.๘ ล้านบาทกลับเข้าคลัง
เพราะว่าโครงการที่รัฐบาล คสช.ยัดให้ “ไม่ตรงกับความต้องการของชาวบ้าน”
เนื่องจากมีแต่การ ‘อบรมสัมมนาและฝึกพัฒนา’
อันเป็นนามธรรม แทนที่จะให้ ‘รูปธรรม’ ซึ่งจำเป็น
เรื่องนี้พวกผู้ใหญ่บ้านและผู้นำชุมชน ๓
หมู่บ้าน ประชากรรวมกันราว ๔ พันคน ประชุมกันแล้วเห็นพ้องว่าขอไม่เอาดีกว่า
ในเมื่อสิ่งที่ต้องการเป็น คือ หนึ่ง สร้างศูนย์การเรียนรู้ศาสตร์ของพระราชา สอง ต้องการให้ทำการปรับปรุงถนน
“เพียงซื้อหินคลุกไปพัฒนาตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
เพื่อรับนักท่องเที่ยวทั้งหน้าฝนและหน้าแล้งให้ได้” และสาม “สร้างห้องน้ำห้องส้วมตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
อาทิ เนินสองเต้าและแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ” เท่านั้นพอ ยังไม่ต้องอบรมอะไร
ไหมล่ะ นโยบายลอกเขามา แผนงานสักแต่ว่า ‘ลงไป’ ทำได้ไม่ได้แค่ไหนไม่รู้ให้เห็น ‘นามธรรม’ เอางบฯ ออกมาก่อน ตามหลักวิชาการสำนัก จปร.
เหมือนตอนซื้อเรือเหาะ ซื้อแท่งตรวจระเบิด
แล้วกำลังเตรียมการซื้อเรือดำน้ำ
ซื้อดาวเทียมไว้สอดแนม (จะได้รู้ล่วงหน้าว่าแม้วดอดไปซื้อกางเกงยีนลดครึ่งราคาร้านไหน
หรือไปกินไอติมคลายร้อนที่ประเทศใด มั้ง)