...เฟซบุ๊ก warat karuchit แปลถ้อยคำหมอริชาร์ต แฮร์ริส ขึ้นพูดที่ออสเตรเลีย ถึงปฏิบัติการ #ถ้ำหลวง และแผนการตัดสินใจนำ 13 ชีวิตออกมา #ThaiCaveRescue— Chu_SpringNews (@Chu_SpringNews) July 29, 2018
Source:https://t.co/OLZF6JRFgChttps://t.co/CXumd2Mk0F
คลิป Dr. Harrishttps://t.co/nqvI78UzGj
ภาพจาก https://t.co/hTyd40XKdS pic.twitter.com/FaRMrynrQg
หมอ Harris เผยรายละเอียดปฎิบัติการถ้ำหลวง
Dr. Richard Harris ฮีโร่ถ้ำหลวง ได้ไปพูดที่งาน Swan Trauma ที่ออสเตรเลีย เกี่ยวกับรายละเอียดการนำตัวหมูป่าออกจากถ้ำ ดังนี้
- ยาที่ใช้คือ 0.5mg Alprazolam กินทางปาก จากนั้นฉีด Ketamine, 5mg/kg เข้ากล้ามเนื้อ และฉีดเพิ่มอีก 2.5mg/kg 2-4 ครั้งระหว่างทางโดยนักดำน้ำต่างชาติที่ไม่ใช่แพทย์ ด้วยเข็มฉีดยาที่เตรียมไว้แล้ว (Dr. Harris บอกว่า ไม่แน่ใจว่าใครบ้างที่ต้องการฉีดเพิ่ม แต่บอกนักดำน้ำไว้ว่า ถ้าไม่แน่ใจ (ว่าเด็กเริ่มรู้สึกตัว) ก็ฉีดเลย เพื่อไม่ให้นักดำน้ำต้องเสี่ยงอันตรายกรณีเด็กได้สติและ panic ขึ้นมา) และยังฉีด Atropine เพื่อป้องกันภาวะน้ำลายออกมากเกินไป (hypersalivation) ซึ่งเป็นผลมาจาก Ketamine ซึ่งเชื่อว่าทุกคนน่าจะไม่รู้สึกตัวระหว่างปฎิบัติการณ์ครั้งนี้ อ่านแล้วคิดว่าน่าจะให้เผื่อไว้เลย
- จากคลิปสั้นๆที่ตัดมาจากในงาน Dr. Harris ได้บอกว่า เด็กคนสุดท้ายของวันแรก มีอาการติดเชื้อที่ปอด และเด็กบางคนมีระยะเริ่มต้นของปอดบวม (ดังนั้นถ้าไม่รีบออกมา อาจจะอันตรายมาก)
- Dr. Harris เป็นคนฉีดยาให้เด็กๆ โดยก่อนฉีด ซีลไทยได้อ่านรายละเอียดที่หมอไทยเขียน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. หมอจะให้กินยาเม็ดที่ทำให้มึนๆ เคลิ้มๆ (น่าจะหมายถึง Alprazolam) ไม่รู้ภาษาไทยเขียนว่าอะไร แต่หมอ Harris ใช้คำว่า feel funny)
2. ให้ลงมาจากเนินทีละคน นั่งบนตักหมอ แล้วหมอจะฉีดยาให้ที่ขาสองข้าง
3. จากนั้นจะหลับไป แล้วตื่นขึ้นมาบนเตียง
ซึ่งหมอ Harris บอกว่า เด็กๆฟังแล้วก็พยักหน้าอือๆ ไม่ได้แสดงอาการตื่นตกใจอะไร (Dr. Harris คิดว่าเด็กๆน่าจะไม่เข้าใจรายละเอียดถึงความเสี่ยงของปฎิบัติการณ์ ซึ่งก็ดีแล้ว หมอ Harris ใช้คำว่า Ignorance is bliss หมายถึง ความไม่รู้คือความสุข)
โดยเด็กๆลงมาทีละคน ที่เหลืออยู่ข้างบนเนินกับซีล จึงไม่เห็นว่าเพื่อนเป็นอย่างไร (ถ้าเห็นอาจจะกลัวได้)
- ตอนช่วงต้นคลิป Dr. Harris ได้อธิบายว่าก่อนปฎิบัติการณ์จริง มีการทดสอบให้เด็กลองสวมหน้ากากแล้วหมอ Harris กดหัวเด็กลงไปให้ทดลองหายใจในน้ำ ซึ่งหมอ Harris บอกว่ารู้สึกผิดมากที่ต้องทำแบบนี้และต้องขอโทษด้วย (มารยาทดีมาก) (แต่รายละเอียดตรงนี้ฟังไม่ชัดเจนเนื่องจากเสียงไม่ชัดและมีเสียงหัวเราะแทรก) แต่เป็นข้อมูลว่า ไม่ได้ทำอย่างเดาสุ่ม มีการวางแผนในกรณีต่างๆอย่างรอบคอบ
- เดวิด ไรท์ หมอดมยาชาวออสเตรเลียอีกคนได้ทวิตว่า มีการคาดการณ์น้ำหนักเด็กคนสุดท้ายผิด จริงๆหนัก 29 กก. แค่คาดการณ์ว่าหนักกว่านี้ และหน้ากากและชุดสวมไม่พอดี ทำให้น้ำเข้าไปได้ และตอนออกมาจากถ้ำ อุณหภูมิร่างกายเพียงแค่ 29 องศาเซลเซียสเท่านั้น
ฟังแล้วน่าทึ่งและน่านับถือหัวใจคุณหมอมากๆที่กล้าหาญ กล้าเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ นักดำน้ำต่างชาติ รวมทั้งซีลไทยทุกนาย และผู้รับผิดชอบกล้าที่ดัดสินใจ เชื่อใจการเตรียมแผนทางการแพทย์เป็นอย่างดีแม้ว่าไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เรียกว่าเป็นปฎิบัติการที่เสี่ยงมากๆ แพทย์บางคนทวิตบอกว่าถ้าเป็นตัวเองคงไม่กล้าทำ เพราะไม่มีข้อมูลอะไรเลย น้ำหนักเด็กอ้างอิงจากน้ำหนักก่อนเข้าถ้ำ มีคนหนึ่งเรียกปฎิบัติการณ์นี้ว่าเหมือนการปีนยอดเขาเอเวอร์เรสต์ของการแพทย์ อีกคนเรียกว่าเป็น Hail Mary (เสี่ยงดวงหวังปาฎิหารย์) และแทบทุกคนนับว่าเป็นปาฎิหารย์ที่สามารถลุล่วงไปโดยที่ทีมหมูป่าปลอดภัยทุกคน ขอบคุณ Dr. Harris มากๆ You are truly a hero!
หมายเหตุ:
1. ผมไม่ใช่หมอ ถ้าแพทย์ท่านใดจะกรุณาให้ความรู้เพิ่มเติมเรื่องยาที่ใช้ก็จะขอบพระคุณครับ
2. ผมคิดว่าปฎิบัติการณ์สำเร็จลุล่วงไปแล้ว เด็กๆปลอดภัยดี คุณหมอเองก็ออกมาให้สัมภาษณ์เอง จึงคิดว่าน่าจะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้แล้วเพื่อเป็นกรณีศึกษาต่อไป ซึ่งบริบทตรงนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับตอนที่ยังไม่เสร็จสิ้นภารกิจ ซึ่งมีความ sensitive มาก ดังนั้นจึงไม่ควรจะนำมาเปรียบเทียบกันครับ
Source:
https://www.facebook.com/drjilltomlinsonamafc/photos/a.2167380586825370.1073741829.2167302566833172/2178594512370644/?type=3&theater
คลิป Dr. Harris
https://twitter.com/crozi3r_john/status/1022991982426116097
ภาพจาก https://twitter.com/PochinRos/status/1022988011108163584
Warat Karuchit