กระแส ‘Hoop la’ การค้นจนพบ ‘ทีมหมูป่า’ ปลอดภัยทั้ง
๑๓ คนในถ้ำแม่สาย ยังท่วมท้นเหมือนน้ำเจิ่งถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน
ที่ทำให้การนำตัวเด็กๆ ออกจากถ้ำคงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย ๒-๓ วัน
ดูเหมือนว่าสังคมไทยเป็นสังคมประเภท ‘Sensational’
ใส่ใจเป็นพิเศษกับเรื่องดราม่า หวือหวา และวาบหวาม ตลอดการลุ้นระทึกสิบวันที่ผ่านมาจึงเต็มไปด้วยตัวละครแห่งนาฏกรรม
ด้านพระเอกก็มีหน่วยซีล นักดำน้ำอังกฤษ และผู้ว่าเชียงราย เป็นอาทิ ฝ่ายผู้ร้าย
ศรีวราห์รับไปเต็มๆ
มิใยมีเสียงวิพากษ์ทางสื่อสังคมเกิดขึ้นว่า
เหตุโศกนาฏกรรมที่เป็นข่าวไปทั่วโลกครั้งนี้ แท้จริงมันเริ่มจากความดื้อรั้นของเด็กๆ
และโค้ช ที่ละเลยป้ายเตือนอันตราย พากันเข้าไปเที่ยวในถ้ำทั้งที่ฝนเริ่มตกชุก (แม้ป้ายระบุห้ามเข้าในเดือนกรกฎาคม
ก็ตาม)
ทั้งๆ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏออกมาในทักษะการเอาตัวรอด
ด้วยการเคลื่อนย้ายหนีน้ำขึ้นไปสู่ที่สูงจนถึงจุดที่ทีมค้นหาคาดหมาย และวิธีรักษาชีวิตภายในถ้ำด้วยการนอนนิ่งถนอมพลังงานของร่างกาย
รวมไปถึงการใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้อย่างดีกับสองนักดำน้ำชาวอังกฤษที่ไปพบเป็นชุดแรก
ล้วนทำให้คนส่วนใหญ่ยังคงเต็มไปด้วยความประทับใจ
มากไปกว่าอาการ ‘หัวร้อน’
หรือก่นด่า แม้กระทั่งบริกร คสช. อย่างนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ยังฉวยโอกาสสวมรอยว่าเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คนทุกฟากทุกฝ่ายหันมาปรองดองกัน
อันที่จริง
ความคิดที่ว่าโศกนาฏกรรมของทีมหมูป่าทำให้เกิดการปรองดองในชาติ
น่าจะอ้างเกินจริงไปหน่อย การที่ผู้คนต่างฝักฝ่ายในอุดมการณ์ทางการเมืองเกิดเห็นพ้อง
มีอารมณ์เร้าใจกับโศกนาฏกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไม่เกี่ยวกับการปรองดองทางการเมืองแต่อย่างใด
ใครคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตุไว้บนทวิตเตอร์ว่า
ระหว่างที่เราใจจดจ่อจ้องรอผลการค้นหาเด็กๆ ทีมหมูป่าเป็นเวลากว่าอาทิตย์นี้
จะมีใครเฉลียวใจว่า คสช.แอบคืบคลานมาตรการครองเมืองนานๆ ของพวกเขาอย่างใดบ้าง
การที่ กสทช. สั่งพักรายการ The
Daily Dose และ Wake Up News ของว้อยซ์ทีวีเป็นเวลาสามวัน
ซึ่งดูเหมือนนี่จะเป็นการสั่งพักครั้งที่ยี่สิบได้แล้วมั้ง อ้างเหตุว่า “คัดคำสั่ง
คสช.” และกับการที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ‘มือปืนป็อปคอร์น’
กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น อ้างว่าหลักฐานไม่เพียงพอ
ทั้งสองกรณีเป็น ‘ความปรองดอง’ แบบที่ คสช.ต้องการ แต่ไม่ใช่การปรองดองในสังคมประชาธิปไตยที่ประเทศชาติและประชาชนพึงมีอย่างแน่นอน
อีกทั้งในความเคลื่อนไหวต่างๆ ระหว่างที่ คสช.ย้ำนักย้ำหนาว่ายังไม่ ‘ปลดล็อค’ และห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรมหาเสียงกัน
แต่พรรคใหม่ที่กำลังจัดตั้งขึ้นในนาม ‘พลังประชารัฐ’ มาสนับสนุนให้หัวหน้า คสช. ได้เป็นนายกฯ
ต่อไปอีกหลังจากเลือกตั้ง กลับเดินสาย ‘recruits’ ดูด (ราคา
๓๐-๕๐ ล้าน) อดีต ส.ส.จากพรรคการเมืองเก่าเข้าพรรคตนกันเอิกเกริก
ขณะที่กรรมการเลือกตั้งพยายามจะหาเหตุยุบพรรคเพื่อไทย
หลังจากที่อดีตนายกฯ หัวหน้าพรรคที่ ‘ลี้ภัย’
อยู่ทุกหัวระแหงทั่วโลก สื่อสารคุยกับอดีต ส.ส.และผู้บริหารพรรคว่า มั่นใจเสียงของเพื่อไทยยังนำอยู่ขาดลอยแน่ๆ
ในการเลือกตั้งที่จะมา
เมื่อเร็วๆ นี้ นายสุรชาติ เทียนทอง อดีต ส.ส.เขตหลักสี่
กรุงเทพฯ ของพรรคเพื่อไทย ถูกสั่งห้ามขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์ฉีดยากันยุง กับฉีดวัคซีนให้สุนัขและแมว
แต่เมื่อวันที่ ๓๐ มิ.ย.ที่ผ่านมา อดีต ส.ส. กทม.พรรคประชาธิปัตย์ รัชดา ธนาธร
นำสับปะรดไปแจกประชาชนในย่านพระราม ๘ โจ๋งครึ่ม
ไม่มีแม้แต่เสียงบ่นเสียงขู่ ว่าผิดคำสั่ง
คสช.ใดๆ นี่หรือความปรองดองระหว่างที่มหาชนสนใจอยู่กับการค้นหาเด็กๆ
นักฟุตบอลทีมหมูป่าอคาเดมี่
ไม่เท่านั้น เมื่อ ๒ ก.ค.ที่ผ่านมา
พรรคอนาคตใหม่ออกแถลงการณ์เรื่อง คสช.ใช้ทหารไปกดดันรองนายก อบต. น้ำพี้ อุตรดิตถ์
เรียกไปคุยตั้งข้อกล่าวหาว่ามั่วสุมทางการเมือง ที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่
และพานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เดินทางพบปะประชาชนในท้องที่
“ทำให้ล่าสุด ภิศิษฐ์
ตัดสินใจยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งรองนายก อบต.น้ำพี้” โดยพรรณิการ์ วานิช
โฆษกพรรคอนาคตใหม่ให้สัมภาษณ์สื่อประชาไทเพิ่มเติมว่า กรณีนายภิศิษฐ์ วงศ์ทอง
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ถูกทหารคุกคามด้วยข้อหาขัดคำสั่ง คสช.
๓/๕๘
“เรายืนยันที่จะลงพื้นที่ต่อไป
คงไม่หยุดที่จะไปพบปะกับประชาชน” น.ส.พรรณิการ์ยืนยัน “หน้าที่ของพรรคการเมืองคือการลงไปพบคนในพื้นที่เพื่อดูว่าปัญหาคืออะไร
ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราจะจัดตั้งพรรคการเมืองมาทำไม
ถ้าเราจะตั้งเสร็จแล้วก็อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย”