โห ลุงตูบโคตรตลก สั่งให้ยกคัตเอ๊าท์
(บ้านเราเรียก ‘สแตนดี้’)
แผ่นกระดาษแข็งตัดเป็นรูปเท่าตัว ออกมาตั้งแล้วบอกนักข่าวอยากซักถามการเมืองหรือเรื่องขัดแย้ง
โน่นไปถามไอ้หมอนั่น
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า
ผู้สื่อข่าวบางคนหัวเราะคิกคัก แต่นี่ไม่ใช่การกระทำกับนักข่าวในลักษณะอำเล่นเป็นไอ้งั่ง
หรือ ‘dumbfound’ ไม่ใช่ครั้งแรก
ก่อนนี้เคยจับใบหูช่างเสียงคลึงเล่นบ้าง โยนเปลือกกล้วยใส่ตากล้องบ้าง
รวมทั้งแกล้งขู่หน้าตายว่าจะจับไปประหารชีวิตถ้าขืนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
แต่หลักใหญ่ใจความข่าว เขาบอกว่า “หลังจากอยู่อำนาจมาหลายปีดีดัก
เสียงก่นด่าเรื่องการครองเมืองด้วยนโยบายที่มักจะกดขี่ ไม่มีความโปร่งใส
กลับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
จึงได้มีผู้ติดตามเฟชบุ๊คของ Wassana Nanuam ซึ่งเขียนรายงานข่าวนี้คอมเม้นต์ว่า “โรคจิตชนิดนึง รึป่าวคะ คนแบบนี้”
คำถามของ Rungrong Sirikul นี่ก็ทำให้
‘dumbfound’ ไปด้วยเหมือนกัน
แต่ที่ไม่ ‘ทีเล่นทีจริง’ เห็นจะเป็นคำเตือนจากนักวิชาการรัฐศาสตร์ระดับอาวุโส
ผู้ประกาศตัวเป็นกองเชียร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ตั้งแต่อ้อนแต่ออกตอนยึดอำนาจใหม่ๆ มาเวลานี้เขียนจดหมายเปิดผนึก ‘ถอดใจ’ ไปเสียแล้ว
ดร.เขียน ธีรวิทย์ แห่งคณะรัฐศาสตร์
จุฬาฯ ส่ง ส.ค.ส. ข้อความถึงนายกฯ (ที่ต่อไปอาจมีสมัญญาต่อท้ายว่า
‘คนนอก’) ว่า “ความศรัทธาของผมที่มีต่อท่านลดลงอย่างมากในระยะหลังนี้”
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ กองเชียร์ คสช. อีกคนเอามาเปิด
“ถ้าท่านจะเจียดเวลาสัก 4 นาทีไปนั่งสงบสติอารมณ์
สำรวจความหลังในรอบ ๔ ปีที่ผ่านมาว่า
ท่านทำรัฐประหารเพื่อต้องการอำนาจหรือเพื่อแก้ไขปัญหาของชาติ”
ดร.เขียนเปิดแผ่วแล้วจึงค่อยโหม
“การปฏิรูปประเทศของท่านล้มเหลวมาตลอด เพราะใช้คนไม่ถูกกับงานหรือเพราะท่านต้องการอยู่ในอำนาจยาวนานเพื่อปฏิรูปให้เสร็จก่อน? นโยบายปราบคอร์รัปชันของท่านจะไปรอดไหมถ้าท่านปล่อยให้คนสำคัญในรัฐบาลของท่านเป็นหนอนบ่อนไส้?”
จากนั้นก็ตั้งหน้าสั่งสอนค่อนข้างยาว ถึงความผิดพลาด
เรื่องหมาบางแก้ว เรื่องนาฬิกาหรู แล้วมาลงที่เรื่องหงุดหงิดบ่อย “ผมอยากเห็นท่านน่ารักดังในยามมีอารมณ์ดี
ผมเชื่อว่าท่านทำได้ เปิดใจกว้างขึ้นเล็กน้อย และมองโลกในแง่ดีมากกว่าที่เป็นมา”
ดูเหมือน ดร.เขียนจะลืมเอ่ยถึงอีกเรื่อง หรืออาจจะมองข้าม
คือนอกจากจะเรียกศรัทธากลับคืนจากพวกติ่งและลิ่วล้อแล้ว
ยังต้องสร้างศรัทธาใหม่เพื่อเรียกใจจากพวกที่เคยอยู่ห่างๆ ด้วย
ทางที่จะทำให้เกิดได้อย่างหนึ่ง
ต้องไม่โกหกพกลมกับประชาชนจนเป็นบุคคลิกภาพ ลักษณะของการโป้ปดทั้งจากสายการนำและทีมงาน
คสช. มีปรากฏอยู่เป็นนิจสินติดตัวดั่งกรรมพันธุ์
ยิ่งเมื่อนำไปใช้ในกิจการระหว่างประเทศ ต่างชาติเขาไม่ยอมรับเมื่อเห็นกันว่ารัฐบาลชุดนี้ไว้เนื้อเชื่อใจไม่ได้
พวกตนเองก็ไปไม่รอด
เห็นได้จากวิธีการให้ข่าวเท็จ หรือ ‘fakeก news’
ของรัฐมนตรีต่างประเทศ เพื่อที่จะ ‘ปกป้องผิว’ ผู้เป็นเจ้านายเอาไว้ จนความตอแหลได้หล่อหลอมหน้าตาและร่างกายของนาย ดอน
ปรมัตถ์วินัย ไว้หมดจด
ล่าสุด รมว. ต่างประเทศเพิ่งจำนนด้วยภาพ ยอมรับว่า “ทราบมานานแล้วว่า
น.ส.ยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร) อยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา” ทั้งที่เมื่อไม่ถึงเดือนมานี้เอง
กต.ยังปากแข็งว่าไม่ทราบอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงลี้ภัยอยู่ที่ไหน
ซ้ำร้ายนายดอนย้ำด้วยว่าเหตุที่ทราบมานานแล้วนั้นเพราะ
“ได้พูดคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ”
อันเป็นการรับข่าวสารข้อมูลอย่างเป็นทางการเช่นนี้
มิควรที่จะแถลงมดเท็จเป็นอย่างอื่น
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่
ไม่กล้าเปิดเผยว่าทราบเบาะแสของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะรู้ตัวดีว่าทำอะไรไม่ได้
เข้าทำนอง ‘ปากหนา หน้าบาง’ หรือว่า
ท้ายที่สุดแล้วการกบดานอย่างสงบของ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ นี่เป็นนโยบายลดแรงเสียดทานของ คสช. ระหว่างการจัดงานศพ ร.๙
เลยไปถึงพระราชพิธีราชาภิเษกที่เปรยกันไว้ว่าจะมาถึงในเดือนมีนาคมนี้
แต่การโกหกประชาชนในยุคโลกาภิวัฒน์นี้
มันใช้การไม่ได้อีกต่อไปกับการที่ข่าวสารต่อโยงถึงกันทางสื่อสังคมถ้วนหน้าตลอดเวลา
๒๔/๗
วิเทโศบายที่เคยมุบมิบทำกันวงในเมื่อครั้งบ้านเมืองอยู่ภายใต้อาญาสิทธิราช
ได้กลายรูปเป็นประชาพิจารณ์เสียแล้ว
นี่เองที่ลงเอยจะทำให้
คสช. ต้อง ‘เสียของ’