วันอาทิตย์, มกราคม 14, 2561

กำลังจะ 'ได้หน้า' ลุยวิคตอเรียซีเคร็ทจับเครือข่ายค้ามนุษย์ ดัน 'หน้าแตก' เสียก่อนตำหวดไทยใช้บริการฟรีตรึม

ดูความมักง่ายของตำหวดยุค คสช. ศรีวราห์ เลย หน้าแตก เมื่อศาลไม่ให้ออกหมายจับ เอกชัย หงส์กังวาน ที่หนังสือพิมพ์แนวหน้าเรียกว่า จอมป่วน

เอกชัยเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ก่อนหน้านี้ไปทำกิจกรรมมอบของขวัญให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เจ้าของนาฬิกาหรูราคาเป็นแสนเป็นล้านแต่ไม่ยอมแจ้งในรายการทรัพย์สินต่อ ปปช. ซึ่งขณะนี้เพจซีเอสไอแอลเอ แฉเป็นเรือนที่ ๒๒ แล้ว

พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติชวนลูกน้องเดินทางไปศาลอาญาเมื่อวันก่อนเพื่อขอให้ออกหมายจับเอกชัยในข้อหาผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ เพราะโพสต์ภาพลามกบนเฟชบุ๊ค
 
แต่เอกชัยบอกนักข่าวว่า นึกไม่ออกตนโพสต์อะไรที่ว่าลามก ภาพเท่าที่มีตอนนี้ก็ปฏิทินนาฬิกาบิ๊กป้อมที่ตั้งใจจะพิมพ์ไปแจกเด็กในวันเด็ก (ซึ่งเมื่อวานนี้เขาก็โดนตำรวจดักจับที่หน้าทำเนียบตามคาด แล้วถูกพาตัวไป คุย ในอาคารฝั่งตรงข้าม)

คำของเอกชัย “ก็แบบเดียวกับนักเคลื่อนไหวอื่นๆ เขาพยายามจะปิดปากเด้วยข้อหา ซึ่งคนอื่นจะโดนข้อหา ม.๑๑๒ ม.๑๑๖ ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. จากการชุมนุมทางการเมืองเกิน ๕ คน หรือล่าสุด ทนายอานนท์ นำภา โดนข้อหาหมิ่นศาล แต่ของตนแหวกแนวกลายเป็นข้อหาโพสต์ลามกอนาจาร


เช่นกัน นี่คำของ ใบตองแห้งอธึกกิต แสวงสุข เกี่ยวกับ หมาต๋าไทย “หน้าที่ของตำรวจคืออะไร ใครมาแจ้งจับใครก็ขอหมายจับ จับได้แล้วก็ดำเนินคดีไปตามขั้นตอน จริงเท็จไม่รู้ ผู้ถูกกล่าวหามีหน้าที่ไปแก้ต่างเอง ไปพิสูจน์ความจริงเองอย่างนั้นหรือ”
 
เขาพูดถึงคดีคุมขังผู้เสียหาย ๒ คืน ๓ วัน สาววัย ๒๔ ถูกขโมยบัตรประชาชนบนรถเมล์ แล้วแก๊งต้มตุ๋นเอาไปใช้เปิดบัญชีธนาคารรับเงิน ๗ แห่ง ๙ บัญชี และเปิดมือถือใหม่อีก ๔ เครื่อง ตำรวจสงสัยร่วมมือกับมิจฉาชีพ พอไปรายงานตัวช้าเลยจับกุมแถมค้านประกัน

“ผู้ถูกกล่าวหามีหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ก็ไม่ฟัง เอาเข้าคุกก่อน ค่อยไปว่ากันในศาล? ระบบตำรวจไทยเป็นอย่างนี้? ถึงสามารถตั้งข้อหาใครไปเรื่อยแบบศรีวราห์ขอหมายจับเอกชัยโพสต์นาฬิกาลามก”

อธึกกิตอ้างถึงคดีของ น.ส.ณิชา เกียรติธนะไพบูลย์ ว่าน่าสนใจที่ “ไม่ค่อยมีใครพูดถึงความบกพร่องของตำรวจ ค่อยมีใครพูดถึงความบกพร่องของตำรวจ นอกจากอัยการปรเมศร์และอดีตผู้พิพากษาชูชาติ ศรีแสง”

สำหรับนายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงานชี้ขาดคดี สำนักงานอัยการสูงสุด ให้ความเห็นว่า ตำรวจ “ให้ประกันเองก็ได้ หรือไม่ควรคัดค้านการขอปล่อยตัวชั่วคราวต่อศาล”

และข้ออ้าง เกรงจะหลบหนีนั่นก็เดินตามลายลักษณ์อักษรเกิ๊น “การที่ส่งหมายไปยังน้องณิชานั้น ปรากฎว่าหมายไม่ถึงตัวน้อง ไม่ถึงครอบครัวน้อง ไปฝากใครก็ไม่รู้...ซึ่งบางครั้งส่งผิดบ้านก็มี ทำไมไม่ให้ตำรวจในท้องที่ไปตรวจสอบให้แน่ว่าชัดก่อนว่าเขาหลบหนีจริงหรือ

ส่วนอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาล (ฎีกา) นายชูชาติ ศรีแสง ก็คอมเม้นต์เช่นกันว่า “คำร้องของพนักงานสอบสวนที่ขอฝากขังนางสาวณิชา ระบุว่าจับกุมนางสาวณิชาได้ที่บ้านพัก คำร้องของพนักงานสอบสวนในส่วนนี้ก็เป็นการกล่าวความเท็จต่อศาล...

จึงต้องถือว่าพนักงานสอบสวนได้กระทำละเมิดต่อนางสาวณิชาและสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางสาวณิชาด้วย


จนเป็นเหตุให้ รมว.ยุติธรรม พลอ.อ.ประจิน จั่นตอง ต้องยอมรับว่า “เป็นความผิดพลาดในบางขั้นตอนของการดำเนินคดี” และ “สั่งการให้สำนักงานยุติธรรมจังหวัดตากเข้าไปดูแล...

ให้ความช่วยเหลือแนะนำขั้นตอนการรับสิทธิ์ต่างๆ จากกองทุนยุติธรรมที่สามารถขอรับความช่วยเหลือได้ทันที รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการสู้คดีทั้งหมด ทั้งค่าทนายความ ค่าเอกสาร ค่าตรวจสอบ ค่าเดินทาง เป็นต้น


นี่ก็ประเภทปล่อยปละเละเทะมั่วซั่ว ผิดพลาดเสียก่อนตามแก้เยียวยาทีหลัง หรืออย่างกรณียกกำลังเข้าตรวจ สถานนวดวิคตอเรียซีเคร็ท แล้ว (เพิ่ง) พบว่าเป็นสถานนาบ มีเด็กร้อยกว่าคนเป็นต่างชาติเสียส่วนใหญ่ เมียนมาร์ ๙๖ คน ลาว จีน อีกสิบกว่า ไทยแค่สี่ 

อีกทั้งมีเป็นสิบอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ซ้ำถูกบังคับรับแขกวันละ ๓ ราย รวมความว่าเป็นเครือข่ายค้ามนุษย์ ตำหวดไทยได้หน้าละทีนี้ บอกกับยูเอ็นว่าเห็นไหมไอจัดการเรื่องพวกนี้จริงจัง

ครั้นพอลงรายละเอียดปรากฏว่า พบบัญชีส่วนลดค่านวดและค่าดูแลเป็นกะตัก “ในบัญชีดังกล่าวได้อ้างถึงเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานที่มาใช้บริการ ตั้งแต่ระดับ ผบก.-รองสว. (ผู้บังคับการและรองสารวัตร) ทั้งมาใช้บริการแบบฟรี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ หรือรับส่วนลด ๕๐ เปอร์เซ็นต์”
จึงได้มีการออกคำสั่งย้ายทั้งกรุ ตำรวจท้องที่วังทองหลาง ตั้งแต่ผู้กำกับ รองฯ สารวัตรปราบปราม สารวัตรสอบสวน นี่ก็วิธี ผุดแล้วแก้หรือว่าพอเหม็นก็ฉีดยาดับกลิ่น แต่ปัญหามันอยู่ที่เน่าละทั้งระบบ อุปมาอุปมัยกับบทระอากฎหมายไทยของ อจ.ปิยะบุตร แสงกนกกุล

หนึ่งในคณะนิติราษฎร์ผู้นี้เขียนระบายเรื่อง วิกฤตวัยกลางคนเกี่ยวกับการงานอาชีพสอนกฎหมาย “เริ่มไม่สนุก และเริ่มตั้งคำถามกับตนเองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่” เพราะ “ผมไม่เชื่ออีกแล้วกับระบบการตรวจสอบโดยศาล”

ข้อสำคัญ อจ.ปิยะบุตร เห็นว่า “กล่าวเฉพาะกรณีประเทศไทย ก็ยิ่ง อันตราย เข้าไปอีก เพราะนำกลไกของ นิติรัฐ-ประชาธิปไตย มารับใช้ระบอบเผด็จการ


ลงท้าย อจ.ปิยะบุตรบอกว่า สาเหตุเหล่านั้นแก้ไขได้ยาก “นอกเสียจากเริ่มใหม่หมด”