คดี ‘รินดา’ โพสต์ข้อความให้ร้ายประยุทธ์และภรรยาจะโอนเงินหลายหมื่นล้านไปเก็บไว้ที่สิงคโปร์
ศาลอาญาตัดสิน ‘ยกฟ้อง’ เพราะเห็นว่า “ไม่มีลักษณะกระทบต่อความมั่นคง”
นี่ถ้าใช้เป็นมาตรฐานกับการตัดสินคดี ๑๑๒
บ้างก็จะดี
จากการที่วันนี้ (๒๕ มกรา)
ศาลอาญากรุงเทพฯ ถนนรัชดา พิพากษาคดีความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา ๑๔ (๒) ต่อ
รินดา (หรือหลิน) พรศิริพิทักษ์ ซึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘
ถูกจับกุมฐานนำลงข้อความอันเกี่ยวกับข่าวลือ ว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะโอนเงินจำนวนหลายหมื่นล้านบาทไปยังประเทศสิงคโปร์
“ศาลเห็นว่าข้อความดังกล่าวอาจจะกระทบกระเทือนหรืออาจจะสร้างความเสียหายต่อผู้ถูกพาดพิง
แต่ยังไม่มีลักษณะกระทบต่อความมั่นคง
และฝ่ายโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบว่าข้อความเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร” จึงให้ยกฟ้องจำเลย
ในการจับกุมรินดา
มีการให้หญิงคนหนึ่งโทรศัพท์ถึงรินดา อ้างเป็นลูกค้า ขอไปดูของที่บ้าน
นัดหมายกันเวลาหลังเที่ยงวันที่ ๘ กรกฎา ๕๘
และก่อนเวลานัดหมายผู้หญิงคนนั้นโทรหาอึก ถามว่าอยู่ไหน เธอตอบว่าอยู่บ้านแล้ว
“สักพักเจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบพร้อมอาวุธปืนยาว
๔ นาย เจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบ พร้อมเจ้าหน้าที่ไม่แต่งเครื่องแบบอีกราว ๑๐ คนก็มาถึงหน้าบ้านของเธอ
และเข้ามาในบ้านของเธอโดยไม่มีการแสดงหมายค้น ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา
แต่อ้างอำนาจตามมาตรา ๔๔”
หลังจากที่รินดาถูกนำตัวไปทำการสอบสวนในกรมทหารราบที่
๑๑ รอ. ได้มีการตั้งข้อหาทั้ง ม.๑๔ (๒) ตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๑๖ และ ๓๘๔ ต้องไปขึ้นศาลทหาร
แม้เบื้องต้นศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว
ทำให้เธอติดคุกอยู่ ๓ วัน จนกว่าศาลยอมให้ประกันโดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด เมื่อ
๑๓ กรกฎาคม และอัยการสั่งฟ้องตอนปลายเดือนสิงหาคมต่อมา
พอถึง ๒๑ ธันวาคม ๕๘
ศาลพิจารณาคดีแล้วเห็นว่า “ไม่เข้าข่ายความผิดยุยงปลุกปั่น
ให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน (มาตรา ๑๑๖) เป็นเพียงการหมิ่นประมาทโดยโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
๓๒๘ ศาลทหารจึงไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้”
จึง “ให้จำหน่ายคดีออกจากศาลทหารไปดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาทที่ศาลพลเรือนแทน”
จนช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ มีการเบิกความสืบพยานทั้งโจทก์ ๓ ปาก และจำเลย ๒ ปาก
ซึ่งเป็นตัวรินดาเอง และ สาวตรี สุขศรี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ.
รินดายอมรับต่อศาลว่าเป็นคนโพสต์ข้อความที่ถูกกล่าวหาจริง
เนื่องจาก “เห็นข้อความดังกล่าวถูกส่งต่อกันทางไลน์ และเป็นข่าวการเมืองโดยทั่วๆ
ไป” อีกทั้ง “ยืนยันว่าการกระทำของเธอเป็นการใช้สิทธิวิพากษ์วิจารณ์ และตรวจสอบบุคคลสาธารณะโดยสุจริต”
อีกทั้งไม่ได้มีหน้าที่จะต้องทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง
แม้ว่าคิดจะทำการตรวจสอบ “การเคลื่อนย้ายเงินในลักษณะดังกล่าวที่ปรากฏในข่าวลือ ก็ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่เธอจะทำได้”
ข้อที่น่าสังเกตุจากการตัดสินคดีนี้
อยู่ที่คำพิพากษาตอนที่บอกว่า “ฝ่ายโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบว่าข้อความเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร”
กับคำให้การของจำเลยในตอนหนึ่งที่ว่า ลักษณะอันปรากฏในข่าวลือที่เธอนำไปเขียน
(หรือแชร์) ข้อความนั้น ก็ไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยจะตรวจสอบได้
ฉะนี้ โดยตรรกะและจิตสำนึกแห่งหลักนิติธรรม
(Rule of Law) ถ้านำคำตัดสินและรูปแบบการต่อสู้คดีมาปรับใช้เป็นมาตรฐานในคดีมาตรา
๑๑๒ บางราย ก็น่าจะทำได้ ดังเช่นคดีของไผ่ ดาวดิน อาจไม่ถึงขั้นให้ตัดสินเหมือนกัน
ทว่าในการพิจารณาให้ประกันเป็นอาทิ