วันพฤหัสบดี, มกราคม 11, 2561

"เธอไม่เห็น...จึงดิ้นรนเฝ้าค้นหา" แต่ "เขาไม่เห็น...ยื่นมือปิดใบหน้า สองตาเธอ"

ติดตา-เตือนใจ มาชม-ฟังสถานภาพไทยๆ ในกะลาแลนด์ ดินแดนที่ คสช.ครองอำนาจมาเกือบสี่ปี มีอะไรดีกว่าเก่าบ้างไหม

เริ่มที่กรุงเทพฯ มหานครศูนย์กลางจริยธรรมจักรวาล เมื่อวานนี้ ต้นปี ๒๕๖๑ ศตวรรษที่ ๒๑ ฝนเทลงมาตั้งแต่ดึก รุ่งขึ้นกลายเป็นเวนิชตะวันออกบนท้องถนน เช่นที่ WiPa. @WiPa_ng ว่าไม่ผิด

“เวนิส เมืองไทย ฝนตกหนักเมื่อไหร่ท่วมเมื่อนั้น กรุงเทพเมืองแห่งน้ำ #น้ำท่วม” เช่นกันกับทวี้ตของ Chris Wotton @chriswotton ถามหาประสิทธิภาพแห่งรัฐ
Okay, so it’s been raining since 3 am but, even so, just how incompetent does a state have to be for its drains to function so badly that this is the end result? #bangkok #thailand” ระบบระบายน้ำศตวรรษที่แล้วต่างกันไหม

มาถึงนาฬิกาหรูผู้ยิ่ง (พี่) ใหญ่ คสช. ที่อ้างว่าเพื่อนให้ เลยไม่ได้แจ้ง ปปช. ซึ่งก็เปิดการตรวจสอบมาเดือนกว่าแล้วยังไปไม่ถึงไหน “ขออนุญาตไม่เปิดเผย” จนบัดนี้โผล่มาเป็นเรือนที่ ๑๙ เข้าแล้ว เลยยิ่งติดกับคำของทั่นเลขาฯ “ยิ่งมากเรือนก็ยิ่งใช้เวลานาน”
มิใยนักกิจกรรมประชาธิปไตย เอกชัย หงส์กังวาน พยายามเป็นครั้งที่สามนำนาฬิกาไซโก้ราคาไม่ถึง ๓ พันจะไปมอบให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แก้ปัญหาไม่ต้องกังวลกฎหมาย ปปช. ไม่ต้องรายงาน ก็โดนสันติบาลฉกตัวไปนั่งสนทนา ทันทีที่ลงจากรถเมล์หน้าทำเนียบฯ

เอกชัยบอกกับสองนายตำรวจใหญ่ที่นั่งหัวโต๊ะมาขอรับนาฬิกาแทนทั่นรองนายกฯ “นี่เป็นการมามอบให้เลย ไม่ได้ให้ยืม เพราะว่ายังไม่อยากตาย” และว่านาฬิกาหลายเรือนที่พี่ตือยืมเพื่อนมาสลับเปลี่ยนสวมใส่

“มันไม่ควรที่จะยืมของใครมาใส่นานๆ โดยเฉพาะเมื่อมีข้อครหาว่านาฬิกาเหล่านี้มันมีราคาที่สูงเกินไป”
แต่หนึ่งในสองนายพลตำรวจ ทั่น ผบ. สันติบาล พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช  ตอบกลับอย่าง ‘wisecracks’ หรือแสดงปมเขื่อง (บางครั้งฝรั่งเรียกว่า ‘smartass’)

“ระบุว่าการที่มีนายทหาร ตำรวจ ระดับนายพลมารับของขวัญจากเอกชัย ซึ่งเป็นการมอบหมายโดยตรงจาก พล.อ.ประวิตร นั้นถือว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้ให้เกียรติกับเอกชัยมาก จึงขอให้เอกชัยได้มอบของขวัญผ่านตน”

อีกทั้งยังพูดทีเล่นทีจริงขอเปิดกล่องตรวจดูภายในก่อน “ว่าเป็นระเบิดหรือไม่ด้วย” เอกชัยก็ทำเป็นพาซื่อเปิดกล่องให้ดู แต่ไม่ยอมมอบกับพวกลิ่วล้อ ขอมอบโดยตรงโอกาสหน้า เขาเรียนทั่นสองนายพลถึงหลักการเบื้องหลังกิจกรรมสัญญลักษณ์นี้ด้วยว่า
“สำคัญที่สุดคือคนเรามันต้องรักษาเวลา อย่างที่รัฐบาล คสช. บอกในปี ๒๕๕๗ ว่าขอเวลาอีกไม่นาน ๒๕๕๙ จะเลือกตั้งก็ยังไม่เลือก ๒๕๖๐ ก็ยังไม่เลือก ๒๕๖๑ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เลือกจริงหรือเปล่า

ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดมันได้อยู่ที่มูลค่าของนาฬิกา มันอยู่ที่เวลา คุณรักษาเวลาหรือเปล่า”


ฟังดูแล้วกัน คำใครคมกว่า ระหว่างนักกิจกรรมที่ตำหวดพยายามทำให้ดูเหมือนตัวตลก กับนายพลที่ปล่อยถ้อยคำหลุดออกมาเหมือนฮัดเช่ย (ยังไม่ถึงขั้นผายลม)

ครานี้มาถึงกรณีชายผู้ขาดตกจักษุทัศน์ซึ่งยื่นฟ้องร้องหญิงสาววัย ๒๔ ปีที่มีสภาพดวงตาแบบเดียวกัน ในข้อหา ๑๑๒ ‘หมิ่นกษัตริย์หรือรัชทายาท’ แล้วตามติดท้วงถามจนกระทั่งเธอถูกพิพากษาจำคุกสมหวัง

ฟังการให้เหตุผลประกอบเจตนาของเขาดู ไฉนจงใจให้เพื่อนร่วมชาติคนหนึ่งได้รับทัณฑ์เพราะฝังใจว่าเธอทำให้ ภาพลักษณ์ของคนตาบอด ต้องเสียไปแม้นว่า “ทางตำรวจเขาก็มีแนวคิดไม่สั่งฟ้อง

แต่คราวนี้ผมเรียนท่านว่าเขาเป็นเพียงแต่คนตาบอด นอกนั้นทุกอย่างก็เหมือนกับคนทั่วไป ไม่น่าจะเป็นเหตุผลให้ไม่ดำเนินคดี...กฎหมายมันไม่ได้ยกเว้นคนพิการ”

ข้อสำคัญ “ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เราอยู่ในประเทศไทย ก็เหมือนกับอยู่ในบ้าน ไม่เคารพพ่อแม่ตัวเอง ไม่เคารพญาติผู้ใหญ่ มันก็ดูเป็นคนอกตัญญู” และ

“น้องเขารับข้อมูลด้านเดียว ด้วยสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง ประกอบกับน้องเขาเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจมันคงพูดยาก แต่มีความผิดก็ต้องว่ากันไป เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง”


ฟังแล้วจะ ซึ้ง หรือ อึ้งขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของบุคคลได้รับการสั่งสม ปลูกฝังมาอย่างไร ประกอบกับโลกทัศน์รอบกายที่ซึมซับใส่เกล้าปัจเจกชนต่างรับไว้ไม่เหมือนกัน

เรื่องอย่างนี้เป็นไปได้ไม่ว่าที่ไหนในโลก ต่างแต่ว่าในสังคมประชาธิปไตยเขายอมรับซึ่งกันและกัน ไม่สามารถบีบบังคับกดหัวให้ต้องน้อมนอบกับแบบใดแบบหนึ่ง

ดังที่ อจ.เกษียณ เตชะพีระ เปรียบเปรยไว้ในบทกลอน “เธอไม่เห็น มืดมากแต่อย่ากเห็น จึงเลือกเฟ้น ดิ้นรนเฝ้าค้นหา เขาไม่เห็น แต่แสงแวบจนแสบตา ยื่นมือปิดใบหน้า สองตาเธอ”

เป็นผลให้ที่เหลือจากนี้ “ดวงใจบอดสนิท ปิดเสมอ” แล้วจะทำอย่างไรกัน

อันกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ของไทยเป็นที่กล่าวขานกันทั่วโลกว่า ‘Draconian’ รุนแรงร้ายเหลือ เกินกว่ามาตรฐานสากลด้านสิทธิมนุษยชนจะทัดทาน ใครก็ตามสามารถฟ้องใครก็ได้ให้ต้องรับโทษสูงสุดแต่ละกระทง ๑๕ ปี ทั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือห้ำหั่นกันทางการเมืองอยู่เนืองๆ

เจ้าพนักงานและตุลาการไม่กล้าหลีกเลี่ยงหรือเมินเฉย โดยมิพักว่าจะต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่ากระทบกระเทือนเบื้องยุคลบาทขนาดไหนแน่ เพียงเพราะกลัวว่าตนเองจะพลอยมีผิดไปด้วย

อีกซ้ำผู้ถูกแจ้งความจะไม่ได้รับการประกันตัวปลดปล่อยชั่วคราวเสมอ และการพิจารณาคดีมักกระทำเป็นความลับ ทำให้สังคมไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ากระบวนการ ยุติธรรมจริงไหม

เราเป็นกันแบบนี้มาแล้วหลายสิบปี แล้วจะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกแค่ไหน ถึงอสงไขยไหมหนอ