วงค์ ตาวัน : บทสรุปม็อบ 2557
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2561
คอลัมน์ ชกคาดเชือก
ผู้เขียน วงค์ ตาวัน
ประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปไตยโดยม็อบ กปปส. กลับมาเป็นข่าวให้ทั่วทั้งสังคมได้ทบทวนกันอีกครั้ง เมื่ออัยการเดินหน้าส่งฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. อีกกว่า 40 คน ในข้อหาหนักหน่วงรุนแรง ทั้งก่อการกบฏ ก่อการร้าย ขัดขวางการเลือกตั้ง จากปฏิบัติการชัตดาวน์ช่วงปลายปี 2556 ถึงต้นปี 2557
ก่อนลงเอยด้วยการเข้ายึดอำนาจของรัฐบาลทหาร คสช.
นอกจากข่าวนี้จะตอกย้ำถึงการเคลื่อนไหวเพื่อฉุดให้ประเทศไทยย้อนยุคกลับไปมีรัฐบาลจากทหารแล้ว
“ยังประจวบเหมาะกับที่สังคมวันนี้กำลังอยู่ในช่วงอึดอัดคับข้องใจกับการเลื่อนโรดแม็ปเลือกตั้งอีกรอบ จากปลายปี 2561 ไปเป็นปี 2562 โน่น”
คนที่ต้องการประชาธิปไตยกลับคืนมา รวมทั้งพรรคการเมือง นักการเมือง ต่างพากันแสดงความไม่พึงพอใจ ที่ประชาธิปไตยจะล่าช้าออกไปอีก
พร้อมกับได้ร่วมตั้งคำถามว่า นับจากม็อบนกหวีดช่วยกันลากรถถังออกมาล้มประชาธิปไตย นำมาสู่การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557
เกือบจะครบ 4 ปีแล้ว การปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ได้นำมาซึ่งความก้าวหน้าของการเมืองอะไรบ้าง
“มีแต่การฉุดการเมืองให้ถอยหลังให้ล้าหลังหลุดโลก!”
กว่า 3 ปีที่มีรัฐบาลจากรัฐประหาร เศรษฐกิจการค้าประสบความยากลำบากขนาดไหน ปากท้องประชาชนเดือดร้อนกันมากมายเช่นไร
มีอะไรดีขึ้นบ้าง นอกจากอำนาจรัฐ ย้ายจากมือนักการเมืองไปสู่มือคณะคนกลุ่มหนึ่ง
“แล้ววันนี้ยังจะเลื่อนเลือกตั้ง เพื่อยืดอำนาจให้คนกลุ่มเดียวยืดยาวไปอีก รวมทั้งเพื่อให้การเตรียมการต่อท่ออำนาจหลังการเลือกตั้งมีความพร้อม เพื่อจะได้นายกฯ จากคนนอกต่อไปอีก”
3-4 ปีแล้ว รัฐบาลทหารยังปกครองได้ไม่สาสมเพียงพออีกหรือ กำลังจะยืดเวลาเลือกตั้งออกไป กำลังจะต่อท่ออำนาจให้ผู้นำรัฐบาลนี้ได้อยู่ต่อไปอีก 1-2 สมัย
ทั้งหลายทั้งปวงตอกย้ำให้เห็นว่า กลุ่มอนุรักษนิยมการเมืองไทย กลุ่มขุนศึกขุนนาง เฝ้ารอเวลาที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะเพลี่ยงพล้ำมาตลอด เมื่อได้จังหวะเหมาะก็จะขอเข้ามายึดครองอำนาจเอาไว้เองบ้าง
แถมหนนี้ยังจะเตรียมการเพื่อให้ตัวแทนขุนศึกขุนนางครองอำนาจต่อไปอีก 1-2 สมัย
“งวดนี้ฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองไทย ตั้งใจจะไม่ให้ฝ่ายการเมือง ไม่ให้ฝ่ายประชาธิปไตย เข้ามามีอำนาจได้เลยอีก 10-20 ปี”
ทั้งหมดนี้เป็นความสำเร็จ จากการจุดประกายของแกนนำ กปปส.
ถ้า กปปส. ต้องการนำประชาชนไปล้มอำนาจอันเหิมเกริมของทักษิณและเพื่อไทย ต้องการปฏิรูปการเมืองไทยให้ดีงาม
ถ้าต้องการเช่นนี้จริงๆ เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยอมยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน
ถ้าแกนนำนกหวีดเลือกทางนี้ ต้องนำพาประชาชนที่อ้างว่ามีนับล้าน ไปร่วมกันลงคะแนนเลือกตั้งเพื่อสั่งสอนฝ่ายทักษิณ เลือกพรรคการเมืองที่เชื่อว่าจะปฏิรูปประชาธิปไตยให้ก้าวหน้า
“นั่นจะทำให้ทักษิณและเพื่อไทยพ่ายแพ้บนวิถีประชาธิปไตยอันเป็นเวทีที่เปิดเผยชัดเจนเป็นที่ยอมรับ และยังเป็นการต่อสู้เพื่อรักษาประชาธิปไตยและพัฒนาปฏิรูปการเมืองให้ก้าวหน้า”
แต่ กปปส. ไม่เลือกทางยุบสภา กลับเลือกเดินหน้าให้ไปสู่ทางตัน เพื่อเปิดทางให้ทหารเข้ามา
จึงต้องสรุปว่า กปปส. คือตัวแทนของฝ่ายอนุรักษนิยมการเมือง ตัวแทนขุนศึกขุนนาง ในการปลุกมวลชนให้ฮือขึ้นมาเพื่อล้มประชาธิปไตย
จะด้วยเหตุผลว่า ทนไม่ไหวกับทุนสามาย์ ทนไม่ไหวกับระบบทักษิณ
แต่สุดท้ายก็คือเลือกการนำอำนาจการเมืองไปไว้กับมือทหารแทน
แปลว่าไม่ต้องการให้ประชาชนส่วนใหญ่มีอำนาจมีส่วนร่วม เพราะมีแต่ประชาธิปไตยเท่านั้นที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในอำนาจ!
ในคำบรรยายฟ้องของอัยการ ได้อธิบายให้เห็นภาพการเคลื่อนไหวของ กปปส. ว่าได้กระทำผิดกฎหมาย ทำนอกเหนือรัฐธรรมนูญ กระทำการเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอย่างเป็นฉากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิบัติการขัดขวางข่มขู่คุกคามเพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557
อันเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความขุ่นข้องใจให้กับประชาชนที่หวงแหนอำนาจการเมืองในมือของตนเองอย่างยิ่ง
ภาพมวลชน กปปส. ไปปิดล้อมสถานที่เก็บหีบบัตร ไปขวางหน้าคูหาเลือกตั้ง โห่ไล่คุกคามประชาชนที่หวงแหนสิทธิการเมือง มีการยื้อยุดฉุกกระชาก
“ไปจนถึงการบีบคอคน!!”
ภาพเหล่านี้จะไม่มีวันลืมเลือน ทั้งตอกย้ำว่าม็อบนั้น คือม็อบที่ไม่ต้องการให้ประชาชนคนไทยมีส่วนร่วมทางการเมืองเช่นไร
จะอ้างว่าเพราะการเมืองไทยยังไม่ดี ทำให้เป็นเหยื่อระบบทักษิณ แต่การขวางเลือกตั้ง ล้มประชาธิปไตย แล้วเอาอำนาจไปให้ทหารถือแทน
“บอกได้ชัดว่า ถอยหลังและเลวร้ายกว่าแน่นอน”
เพราะการพัฒนาประชาธิปไตยของคนทั่วโลกที่ทำสำเร็จมาแล้ว มีแต่ต้องให้ประชาชนเข้าร่วมเลือกตั้งและพัฒนาเติบโตทางความคิด เพื่อสร้างการเมืองให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะทำให้การเมืองนั้นมั่นคงแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
วิธีที่ล้มกระดานประชาธิปไตยด้วยอำนาจกองทัพ แล้วให้คนหยิบมือเดียวมาบริหาร มาขีดเขียนกติกา ไล่ประชาชนกลับไปอยู่ในบ้าน อย่าเพิ่งมายุ่ง เป็นวิธีที่บ้านเราทำมาตลอดหลายปี และวนในอ่างเช่นนี้ไม่สิ้นสุด
“อีกทั้งพิสูจน์แล้วว่า ก็แค่ข้ออ้างเพื่อการขอเข้าครอบครองอำนาจรัฐของฝ่ายอนุรักษนิยมล้าหลังเท่านั้นเอง!”
ยิ่งวันนี้ประชาชนเริ่มรับไม่ได้กับการยืดวันเลือกตั้งออกไปเรื่อยๆ มีแต่จะก่อกระแสโหยหาตัวแทนฝ่ายประชาธิปไตย
รวมทั้งจะยิ่งรู้ซึ้งกับปฏิบัติการขัดขวางเลือกตั้งของมวลชน กปปส. อย่างไม่มีวันลืมเลือน
เมื่อถึงวันเลือกตั้งเมื่อไร ก็คงได้แสดงออกเพื่อสั่งสอนฝ่ายที่กีดกันประชาชนไม่ให้มีส่วนร่วมในทางการเมืองเมื่อปี 2557 อย่างชัดเจนแน่นอน
“ภาพชายที่ถูกบีบคอหน้าคูหาเลือกตั้งเพราะต้องการเข้าไปใช้สิทธิใช้เสียง ภาพหญิงสาวถือไฟฉายส่องทางท่ามกลางการถูกขัดขวางของม็อบนกหวีด ภาพหญิงสาวที่เดินฝ่าฝูงชนที่คุกคามแล้วปีนรั้วเข้าไปเพื่อจะเลือกตั้ง”
ล้วนเป็นบุคคลที่โดดเด่น เป็นคนรักสิทธิเสรีภาพ ที่จะต้องได้รับการเชิดชูในวาระเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้
อันเป็นภาพที่ตรงกันข้ามกับฝ่ายที่มkขัดขวางบีบคอ อันชัดเจนและสร้างอารมณ์ความรู้สึกหวงแหนประชาธิปไตยได้ดีที่สุด!
หากย้อนดูเหตุการณ์ลุกขึ้นสู้ของประชาชนโค่นล้มอำนาจรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลาคม 2516 พฤษภาคม 2535 ล้วนแต่เป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย ให้ประชาชนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมทางการเมือง
14 ตุลาฯ นั้น คือการเบิกม่านประชาธิปไตย หลังจากที่รัฐบาลทหารและเผด็จการยึดครองมายาวนาน
พฤษภาคม 2535 คือการขับไล่รัฐบาลทหาร ที่แอบแฝงแทรกแซงอำนาจ รวมทั้งสร้างดอกผลการต่อสู้ที่สำคัญที่สุดคือ ให้มีนายกฯ จากการเลือกตั้งเท่านั้น โดยให้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
หากเทียบกับการต่อสู้ของม็อบเสื้อเหลืองเมื่อปี 2548-2549 คือการต่อสู้เพื่อเรียกหาอำนาจนอกระบบ มาหยุดประชาธิปไตย อ้างว่าเพื่อหยุดระบบทักษิณ ไม่ต่างจากม็อบนกหวีด 2556-2557 ที่ไม่ยอมรับการยุบสภา และอ้างว่ายังไม่ควรมีเลือกตั้ง นี่ก็คือการกีดกันประชาชนออกจากการมีอำนาจทางการเมืองครั้งใหญ่อีกครั้ง
“นี่คือความต่างของขบวนการนำมวลชนลุกขึ้นสู้!”
แบบหนึ่งคือ สู้เพื่อประชาธิปไตย อีกแบบคือ สู้เพื่อหยุดประชาธิปไตย ปูทางให้คนคณะหนึ่งเข้ามาถืออำนาจการเมือง แล้วผลักให้ประชาชนส่วนใหญ่กลับไปอยู่ในบ้านเฉยๆ
หนักหนาสาหัสที่สุดคือ ผลจากการล้มประชาธิปไตยครั้งล่าสุด เราได้รัฐธรรมนญ 2560 ซึ่งเปิดทางให้มีนายกฯ คนนอกได้อีก
“น่าเศร้าเสียใจแทนวีรชน 2535 ยิ่งนัก”
ทั้งหลายทั้งปวง อะไรคือการเมืองที่ก้าวหน้าจากการต่อสู้ของ กปปส. และการบริหารอำนาจของ คสช.
มีแต่ฉุดการเมืองไทยให้ถอยหลัง เพื่อให้ฝ่ายอนุรักษนิยม ขุนศึกขุนนาง สามารถยึดครองอำนาจเหนือฝ่ายการเมือง ฝ่ายประชาธิปไตยมากกว่า
การส่งฟ้องแกนนำ กปปส. คือ การปลุกให้สังคมไทยได้หันกลับมาทบทวนเรื่องราวหน้าประวัติศาสตร์นี้อีกครั้ง!