มาแล้วไง ‘ไทยนิยมยั่งยืน’ ที่ไม่ว่าสำนักข่าวไหนอ่านไต๋แจ่มแจ้ง ว่าเป็นการปูพรมหาเสียงให้แก่รัฐบาล
คสช. ก่อนถึงฤดูเลือกตั้ง
นัยว่าถ้าสัมฤทธิ์ผลดังหวัง หลังกุมภา ๖๒
คงได้รัฐบาลใหม่ที่มีนายกฯ
คนนอกจากนายทหารที่ลอกคราบใหม่กลายเป็นนักการเมืองประชารัฐ ก็จะทำให้กระบวนการยึดอำนาจเพื่อสลิ่มอิ่มแล้วไม่ไป
บังเกิดความมั่นคงและมั่งคั่งอีกยาว
ชื่อทางการตั้งไว้คมคาย ‘คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน’ ๖๑ คน (ตามปี) บิ๊กตู่ เป็นประธานเอง บิ๊กป๊อก รมว.มหาดไทย เป็นเลขาฯ ยกทั้ง
ครม.-ผบ.เหล่าทัพ ปลัดกระทรวง เข้าร่วม
แล้วสั่งให้อำเภอตั้งทีม ชุดละ ๗-๑๒ คน
ทั่วประเทศ ๗,๘๐๐ ทีม “ลงพื้นที่ ทุกตำบล ทุกชุมชน ตามแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน
และแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง ทุกมิติ และสำรวจความต้องการของประชาชน
และสร้างความเข้าใจ เรื่องประชาธิปไตย” (ขอบใจ วาสนา นาน่วม สรุปให้)
ทั้งนี้ “เพื่อทำให้การบูรณาการขับเคลื่อนการทำงานในระดับพื้นที่ตามแนวทางประชารัฐเป็นไปตามข้อคำสั่งของนายกฯ
และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๒ รวมทั้งยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ”
ล้วนตามแนวทางที่ คสช. บงการไว้ทั้งนั้น ซึ่งประชาไทสรุปอำนาจหน้าที่คณะกรรมการไว้
๖ อย่าง มีกำหนดนโยบาย อำนวยการ (x ๒) สนับสนุน
แต่งตั้ง และอื่นๆ ตามประยุทธ์สั่ง
บรรดาผู้สื่อข่าวเห็นเช่นนั้นพากันตั้งข้อสังเกตุโดยพลันว่า
บุคคลากรต่างๆ ทั้งโครงการตั้งแต่ระดับแกนนำ ทีม ๖๑ ลงมา เต็มไปด้วยขี้ข้าราชการ
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปกครอง ส่วนพัฒนาการ หรือระดับบัญชาการเหล่าทัพ
“จะมีส่วนร่วมของประชาชนเท่าที่เห็นตามคำสั่งก็อยู่ในระดับตำบลที่ประกอบด้วย
ปราชญ์ชาวบ้าน และจิตอาสา ‘เราทำความดีด้วยหัวใจ’ ในพื้นที่” เพียงจิ๊บจ้อยเท่านั้น (หมายเหตุ ‘จิตอาสา’ นี่วาสนาเธอว่าเป็นแบรนด์ ‘ใน ร.๑๐’ ด้วยละ)
ดูไปแล้วบิ๊กตู่คนนี้เขาเดินตามรอย ‘อียิปต์โมเดล’ ของอดีตผู้เผด็จการ แอ็บเดล เฟ็ตต้า
อัล-ซีซี ไม่ผิดเพี้ยน
เมื่อห้าปีที่แล้วนายพลอัล-ซีซียึดอำนาจจากรัฐบาลเลือกตั้ง
กวาดล้าง ‘ศาสน์นิยมสามานย์’ ของภราดรภาพมุสลิม (ตายเป็นพันและยัดคุกไม่เหลือซาก)
จากนั้นลอกคราบเครื่องแบบนายพลมาใส่สูท ลงเลือกตั้งด้วยคะแนน ๙๙
เปอร์เซ็นต์เพราะไม่มีคู่แข่ง
อยู่มาจะครบสี่ปี เตรียมลงสนามเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งปลายเดือนมีนาคมนี้
โดยที่ตอนนี้มีผู้เสนอตัวแข่งขันเหลืออีกคนเดียว เป็นหัวหน้าทีมฟุตบอลโด่งดังที่คนทั่วไปรู้ดีว่าถ้าเขาลงสมัครรับเลือกตั้งก็จะเป็นแค่ไม้ประดับเท่านั้น
ใครที่จะลงแข่งขันกับอัล-ซีซี
จะต้องยื่นใบสมัครภายในวันที่ ๒๙ มกราคมนี้
อันเป็นเส้นตายที่คณะกรรมการเลือกตั้งเพิ่งประกาศไว้เมื่อวันที่ ๘ มกราคม
คลับคล้ายคลับคลากับประชารัฐของ คสช. ที่ไม่ยอมปลดล็อกพรรคการเมืองเก่า แต่ยืดเวลาเลือกตั้งออกไปให้พรรคการเมืองใหม่
(ซึ่งเห็นมีแต่พรรคทหาร) ตั้งตัวกันได้
ข่าวเอเอฟพีแจ้งวานนี้ ว่าผู้เสนอตัวลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอียิปต์ที่มีภาษีพอแข่งขันกับอัล-ซีซีได้
เพิ่งประกาศถอนตัวไป ผู้เสนอตัวคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ไม้ประดับล้วนแต่ต้องถอนตัวไปแล้ว
หรือไม่ก็ถูกจับยัดคุก
ไม่เพียงเท่านั้นกฎหมายเลือกตั้งของอียิปต์ซึ่งเขียนโดย
‘ตุลาการ’
ซึ่งร่วมมือกับรัฐบาลทหารกวาดล้างนักการเมืองหัว ‘ก้าวหน้า’ และมุสลิมบราเธอร์ฮู้ด จนราบคาบ กำหนดข้อจำกัดผู้เข้าแข่งขันไว้ถี่ยิบ
“คนที่อยากเป็นประธานาธิบดีจะต้องได้รายนามสมาชิกสภานิติบัญญัติให้การสนับสนุนอย่างน้อย
๒๐ คน หรือผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ๒๕,๐๐๐ คน
โดยที่รายชื่อเหล่านี้จะต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่า ๑,๐๐๐ ในแต่ละจังหวัดของอียิปต์ ๑๕
แห่ง” รายงานข่าวเอเอฟพีชี้
ผู้ท้าชิงกับอัล-ซีซีคนล่าสุดนี่ เขาเป็นทนายความสิทธิมนุษยชนฝ่ายต่อต้านรัฐประหารและทหารการเมืองที่แข็งขันกว่าใคร
แต่ก็โดนทางการเล่นงานด้วยข้อหาบ้าจี้เสียจนงอมพระราม
เขาถูกฟ้องว่าแสดงท่าทางลามก ฉลองชัยในการคัดค้านรัฐบาลอียิปต์มอบเกาะสองเกาะให้แก่ซาอุดิอาราเบีย
ซึ่งเขายืนยันว่าภาพที่ปรากฏทางโซเชียลมีเดียนั้นเป็นภาพตกแต่งโดยคนกลั่นแกล้ง
เห็นอย่างนี้แล้วนึกถึง ‘ทนายน้อย’ อานนท์ นำภา ‘ทนายจูน’
ศิริกาญจน์ เจริญศิริ และ (อนาคต) ‘ทนายไผ่’
จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ถ้าเขาไม่ถูกจับยัดคุก)
ทนายเหล่านี้ไม่มีใครคิดจะลงแข่งเลือกตั้งชิงตำแหน่งนายกฯ เสียหน่อย ก็ยังโดนคดี ‘บ้าจี้’ กันระนาว