วีรนันท์ ว้อยซ์ทีวี ๒๑ @weeranan เขาชี้ว่า “ไทยจะก้าวสู่ 'สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์'
ในปี ๒๕๖๔ หรืออีก ๓ ปีข้างหน้า และอีก ๑๓ ปีข้างหน้าจะกลายเป็น 'สังคมสูงวัยระดับสุดยอด'” มิน่า พวก คสช.
สูงอายุถึงอยากอยู่ยาว
ที่สุด กรรมาธิการวิสามัญร่างกฎหมายเลือกตั้ง
ก็ผ่านมติเห็นชอบแก้ไขมาตรา ๒ ให้ยืดประกาศเลือกตั้งออกไปอีก ๙๐
วันหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทำให้คาดกันว่าจะมีเลือกตั้งได้อย่างช้าที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์
ปี ๖๒
แม้นว่าความหวังเลือกตั้งในปลายปีนี้ยังมี
ถ้าคิดคำนวณสาระตะ ตามอย่าง ธนาพล อิ๋วสกุล ที่บอกว่าในรัชกาลนี้ (ที่ ๑๐)
การลงพระปรมาภิไธยกฎหมายมักใช้เวลาไม่ถึง ๙๐ วันตามบัญญัติรัฐธรรมนูญ
“ร่าง รธน.ฉบับปัจจุบัน หัวหน้าคณะรัฐประหารทูลเกล้า ๑๘ กุมภาพันธ์
๒๕๖๐ ในหลวง ร.๑๐ ลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้ วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐ รวมเวลาแล้ว ๔๙
วันเท่านั้น”
เช่นเดียวกับกฎหมายพรรคการเมืองซึ่ง “ทูลเกล้า ๑๔ กันยา ๒๕๖๐ ในหลวง
ร.๑๐ ลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ รวมเวลา ๒๔ วัน”
และคาดว่าที่เหลืออีกสองฉบับ คือ พรบ.เลือกตั้ง ส.ส. และแต่งตั้ง สว. จะเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
“การเลือกตั้งก็อาจจะเร็วว่า พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ก็ได้”
ว่าไปแล้วจะเร็วหรือช้ากว่ากำหนดล่าสุด จากปากคอของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นกันยา
๖๑ หรือ กุมภา ๖๒ ยืดเข้ายืดออกภายในระยะเวลาสี่ซ้าห้าเดือน ไม่ต่างอะไรนัก
ข้อสำคัญอยู่ที่เวลานี้ประชาชนเรียกร้องต้องการเลือกตั้งมากขึ้นทุกวัน
ถ้าจะดูจากผลสำรวจของกรุงเทพโพลเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิ ที่บอกว่า ๗๐.๖
เปอร์เซ็นต์ต้องการให้นายกฯ มาจากการเลือกตั้ง โดยที่คะแนนนิยมของประยุทธ์ ‘หด’ เหลือ ๓๖ เปอร์เซ็นต์
ฉะนั้น ไม่ว่าลิ่วล้อ คสช. จะพยายามกีดกันบรรยากาศของการเตรียมเลือกตั้ง
ที่ควรเต็มไปด้วยการแสดงความคิดความเห็น อันเป็นวิธีการหาเสียงที่ต้องตรงในครรลองของการเมืองแบบประชาธิปไตย
ไม่ใช่การยกขบวนลงพื้นที่บรรยายซ้ำซาก และให้หัวคะแนนท้องที่
(ข้าราชการทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง) เกณฑ์คนมาต้อนรับ สกัดและจับกุมพวกประท้วง
ดังที่ตำรวจเข้าสกัดกลุ่ม ‘people
go’ เดินเพื่อมิตรภาพ ที่กำหนดจะพากันเดินจากธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
ไปขอนแก่น “ตำรวจยื่นยันว่าไม่สามารถให้เดินได้
เนื่องจากมีความล่อแหลมต่อการชุมนุมทางการเมือง และช่วงนี้มีคำสั่ง คสช.”
ห้ามอยู่ จนผู้ร่วมขบวนลงนั่งปักหลักอยู่หน้า
มธ. รังสิต
สภาพการณ์ที่ คสช. ยื้อยุดอย่างถึงที่สุด
ไม่ยอมคืนบ้านเมืองให้กับความรับผิดชอบของประชาชน หลังจากพิสูจน์เป็นประจักษ์แล้วว่าการยึดอำนาจครองเมืองมาสี่ปี
มีแต่จะด้อยถอยลง สิ้นเปลือง และชีวิตความเป็นอยู่ชาวบ้านป่วนปั่น
ดูเหมือนว่านายจาตุรนต์ ฉายแสง
อดีตรัฐมนตรีและรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แกนนำพรรคเพื่อไทย
จะกล่าวถึงสภาพเช่นนี้ได้อย่างเหมาะเจาะ “สิ่งที่ประเทศต้องการไม่ใช่การปกครองด้วยระบบอะไรก็ได้
บ้านเมืองจะถอยหลังหรือไม่ก็ได้ ขอแค่มีความสงบเรียบร้อย
เพราะความสงบอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายที่สูงมาก...
ประเทศไทยต้องล้มลุกคลุกคลานไม่เดินหน้านั้น
เป็นเพราะเรายังไม่มีวัฒนธรรมทางการเมืองที่เข้มแข็งพอ
ส่งผลให้ประเทศต้องปกครองแบบ ‘ไม่ใช่’ ประชาธิปไตยเป็นส่วนใหญ่
เพราะความเชื่อเรื่องประชาธิปไตยไม่ได้รับการปลูกฝังให้มีความมั่นคง...
ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยได้มีวิเคราะห์มาโดยตลอดว่า
ในแต่ละช่วงเวลา พล.อ.ประยุทธ์กับพวกกำลังจะทำอะไร...ที่สำคัญ พรรคเพื่อไทยจะต้องเป็นพรรคการเมืองที่ยืนยันต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
พร้อมทำหน้าที่ไม่ว่าสถานการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน
จะต้องทำหน้าที่ให้ดี เพราะบทบาทของพรรคการเมืองนับจากนี้
นอกจากการเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านแล้ว
ยังต้องมีความมุ่งมั่นทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยให้ได้ นี่ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของนักการเมือง
หลังจากนี้พรรคเพื่อไทยจะพูดชัดว่าไม่สนับสนุน
ไม่ร่วมกับ คสช. เป็นรัฐบาล เชื่อว่าต่อไปเราจะประกาศอย่างชัดเจนว่าเราจะไม่ร่วมกับนายกฯ
คนนอก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
ถ้าผิดไปจากนี้
หมายความว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นการพังทลายของพรรค”
พรรคอื่นๆ จะเดินเกมกันอย่างไรก็ตามแต่
หลักการที่นายจาตุรนต์ประกาศออกมาครั้งนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับฝ่ายประชาชนที่
บอบช้ำ เจ็บแค้น และถูกย่ำยีตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะสังกัดพรรคใด
ความสูญเสียบรรยากาศประชาธิปไตย
และการบังคับใช้กฎหมายอย่างลำเอียง
เพียงพอแล้วสำหรับพลเมืองที่ถูกกระชากสิทธิส่วนบุคคล และเสรีภาพในการแสดงออก
จะต้องบอกเลิกสารากับการเกี๊ยเซี้ยเสียที