ช่วงนี้ทัวร์จีนจึงยกเลิกการมาเมืองไทยเพิ่มขึ้น โรงแรมแถวสะพานหัวช้างที่เคยมีคนจีนแน่นขนัด ขณะนี้คนจีนหายไปเกือบหมดแล้ว คนในวงการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบนับหมื่นคน สัญญาณนี้เป็นการบอกให้รัฐบาลไทยต้องตื่นขึ้นมาดูการทำงานของบรรดาข้าราชการประจำว่าพวกเขาทำงานกันอย่างไร พวกเขากำลังช่วยเหลือรัฐบาลหรือกำลังจะก่อวินาศกรรมทางเศรษฐกิจให้กับรัฐบาล
ไล่จับทัวร์ศูนย์เหรียญ วิกฤตนักท่องเที่ยวจากจีน
เขียนโดย สังศิต พิริยะรังสรรค์
สำนักข่าวอิศรา
11 กันยายน 2559
ในช่วงไม่ถึง 1 เดือนที่ผ่านมา มีข่าวตำรวจท่องเที่ยว กรมสรรพกร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กรมการท่องเที่ยว กองบัญชาการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ กองบังคับการปราบปรามการคุ้มครองผู้บริโภค หน่วยทหารในพื้นที่ร่วมกับ ป.ป.ง. ได้แจ้งข้อกล่าวหาบริษัททัวร์ขนาดใหญ่ที่มีรถทัวร์นับพันคันที่ภูเก็ต พัทยา และกรุงเทพฯ ว่า 1) มีการปลอมแปลงสัญชาติของเจ้าของทัวร์จากจีนเป็นไทย 2) เป็นบริษัททัวร์ศูนย์เหรียญ 3) เป็นบริษัทนอมินีของจีน 4) จำหน่ายสินค้าที่สูงกว่าความเป็นจริง และ 5) มีพฤติกรรมที่เป็นอั้งยี่ และขณะนี้ทางการสามารถอายัดทรัพย์สินของบริษัทเหล่านี้ได้แล้วเป็นเงินนับหมื่นล้านบาท
ผมติดตามข่าวนี้ด้วยความสนใจ และได้สอบถามบริษัททัวร์บางแห่งที่รู้จักและไม่รู้จัก ในเบื้องต้นผมสรุปว่า 1) บริษัททัวร์ศูนย์เหรียญเป็นเพียงวาทกรรม แต่ไม่ใช่ความจริง เพราะเดิมรัฐบาลจีนมีนโยบายไม่ให้คนจีนส่งเงินออกนอกประเทศ ดังนั้น นักท่องเที่ยวชาวจีน ที่มาเที่ยวเมืองไทยจึงใช้วิธีนำเงินสดมาชำระให้แก่บริษัททัวร์ที่กรุงเทพแทน ต่อมาเมื่อรัฐบาลจีนอนุญาตให้ชาวจีนสามารถโอนเงินออกต่างประเทศได้ แต่นักท่องเที่ยวชาวจีนก็ยังนิยมที่จะนำเงินสดมาชำระค่าทัวร์ที่กรุงเทพอยู่เหมือนเดิม ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้รัฐบาลสามารถตรวจสอบบัญชีของบริษัททัวร์ที่รับลูกค้าชาวจีนได้
2) การกล่าวอ้างว่าบริษัทเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นชาวจีนที่มาเปลี่ยนชื่อและนามสกุลอย่างผิดกฎหมาย จากการตรวจสอบข้อมูลผมพบว่าเจ้าของบริษัททัวร์ที่ภูเก็ตที่ถูกกล่าวหาเป็นลูกหลานของทหารจีนกองพลที่ 93 ก๊กมินตั๋ง ที่อพยพหนีสงครามจากจีนเข้ามาอยู่ที่ภาคเหนือของไทย ในสมัยรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ขอให้คนหนุ่มของนายทหารจีนเหล่านี้ไปปราบคอมมิวนิสต์ที่เพชรบูรณ์ เชียงราย และน่าน เมื่อสงครามสงบลูกหลานชาวจีนเหล่านี้จึงได้สิทธิแปลงสัญชาติจากจีนเป็นไทย ส่วนเจ้าของรถทัวร์โอเอ เป็นครอบครัวชาวจีนที่เกิดที่เมืองไทย คนจีนเมื่อ 50 - 60 ปีก่อน นิยมให้ลูกใช้ชื่อจีนและใช้แซ่กันโดยทั่วไป แต่เธอได้เปลี่ยนชื่อและนามสกุลเป็นไทยตามสมัยนิยมในเวลาต่อมา หลักฐานในเรื่องนี้สามารถตรวจสอบจากในสูติบัตร และสถาบันที่เธอเคยศึกษาตั้งแต่ประถมศึกษา หลักฐานราชการเหล่านี้ไม่สามารถปลอมแปลงได้
3) การกล่าวหาว่าเป็นพวกอั้งยี่ ผมคิดว่าการดูพฤติกรรมการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตของคนเหล่านี้จะเป็นการตอบคำถามว่าเขาเป็นพวกกลุ่มอิทธิพลใช้ความรุนแรงในการทำธุรกิจหรือไม่ เจ้าของบริษัททัวร์โอเอเคยเข้าอบรมหลักสูตร วปอ. และอีกหลายสถาบัน การดูว่าบริษัทมีรถทัวร์จำนวนมาก ทางราชการสามารถตรวจสอบการขอสินเชื่อจากธนาคารได้ว่ามีอยู่หรือไม่ อย่างไร
4) ควรมีการตรวจสอบการเสียภาษีย้อนหลังของบริษัทเหล่านี้ว่าได้เสียภาษีอย่างถูกต้องหรือไม่ เพราะถ้าไม่เสียภาษีหรือหลีกเลี่ยงการชำระภาษีจึงสมควรกับข้อหาว่าเป็นอั้งยี่
5) ผมพบว่ามีบริษัทนอมินีของจีนในประเทศไทยจริง โดยการเข้ามาแต่งงานกับคนไทยและแปลงสัญชาติเป็นไทย บริษัทเหล่านี้ได้ลงทุนร่วมกับคนจีน โดยให้คนไทยถือหุ้นร้อยละ 51 และคนจีนถือร้อยละ 49 แต่ในความเป็นจริงบริษัทเหล่านี้คนจีนถือหุ้นเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมพบว่าบริษัทเหล่านี้กลับไม่ถูกทางการจับ แต่เจ้าหน้าที่รัฐกลับจับบริษัทของคนไทยแทน
จากรายงานของทางราชการพบว่านักท่องเที่ยวชาวจีนมีมากที่สุดเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวจากทุกชาติ ปี 2558 มีนักท่องเที่ยวจีนในเมืองไทยเกือบ 8 ล้านคน สร้างรายได้ให้คนไทยราว 371,000 ล้านบาท คาดว่าในปี 2566 รายได้ส่วนนี้จะเพิ่มสูงถึงราว 830,000 ล้านบาท แต่ข่าวหน่วยงานราชการไทยออกข่าวจับทัวร์จีนในเมืองไทย สร้างความสับสนให้แก่ชาวจีนมาก หนังสือพิมพ์จีนที่เฉิงตูซึ่งเป็นเมืองที่คนจีนมาเที่ยวไทยมากที่สุดได้เตือนให้ชาวจีนหลีกเลี่ยงมาเที่ยวไทยในช่วงนี้ เนื่องจากความสับสนที่เมื่อทางการไทยยึดรถทัวร์หลายพันคัน นั่นหมายความว่าทัวร์จีนจะอลหม่านกับการไม่มีรถเดินทาง
ดังนั้นช่วงนี้ทัวร์จีนจึงยกเลิกการมาเมืองไทยเพิ่มขึ้น โรงแรมแถวสะพานหัวช้างที่เคยมีคนจีนแน่นขนัด ขณะนี้คนจีนหายไปเกือบหมดแล้วครับ คนในวงการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบนับหมื่นคน สัญญาณนี้เป็นการบอกให้รัฐบาลไทยต้องตื่นขึ้นมาดูการทำงานของบรรดาข้าราชการประจำว่าพวกเขาทำงานกันอย่างไร พวกเขากำลังช่วยเหลือรัฐบาลหรือกำลังจะก่อวินาศกรรมทางเศรษฐกิจให้กับรัฐบาล