อย่างนี้จบยาก หากพยายามสยบเสียงครหาด้วยการ ‘พองขน’ ซ้ำสำรากขู่เอาคืนบ้าง เข้าทางใช้วิธีการทรมานทรกรรมด้วยวาจา
ก็เรื่องน้องสะใภ้ทำงามหน้า แถมหลานชายทำฉิ_หาย มีบริษัทประมูลรับงานกองทัพภาค ๑๕๐ ล้าน อุปกรณ์รถปิ๊คอัพคันเดียว อื้อฉาวขนาดนี้จะไม่ยอมให้ใครตรวจสอบได้ไง
(เรื่องละเอียดที่อิศรา http://www.isranews.org/…/item/50159-report_sonbigtig_20959…)
“เขาสอบหมด บริษัทบ้าบอคอแตกอะไรนั่น อยากจะสอบอะไรก็สอบไปเถอะไป จะสอบครัวสอบส้วมก็สอบไป จะมาโยงกับผมทำไม...
ใครอยากสอบก็สอบไป หรือสื่อจะเป็นตัวแทนเรืองไกรอีกคน ศรีสุวรรณอีกคน มันทำงานอะไรวันๆ หนึ่ง มันมาฟ้องกันทุกวัน มีงานทำหรือเปล่า ทำมูลนิธิเหรอ เดี๋ยววันหลังต้องไปสอบสองคนนี้บ้าง”
(http://www.matichon.co.th/news/300607)
และไม่แค่เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย และศรีสุวรรณ จรรยา แห่งสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญเท่านั้นที่ต้องการตรวจสอบ องค์การต้านคอรัปชั่น หรือชื่อย่ออังกฤษ ACT ก็ออกโรงเอาด้วย
“เพื่อเป็นการป้องกันมิให้กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก รัฐบาลต้องให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายเรื่อง ประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ในการบริหารจัดการโครงการต่างๆ
ทั้งนี้เพราะ ระบบอุปถัมภ์หรือการเอื้อประโยชน์ต่อคนใกล้ชิด เป็นจุดอ่อนของสังคมไทย และเป็นจุดเริ่มต้นที่ร้ายแรงของการทุจริตคอร์รัปชัน”
(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1475037821)
จะอ้างว่าเป็นนายกฯ (แม้จะแย่งอำนาจเขามา) ไม่ต้องรับผิดชอบแทนน้อง หรือรัฐมนตรีทุกคน น่ะไม่ใช่ อยากเป็นวีรบุรุษ (เห็นพูดบ่อยเสียสละทำงานหนักเข้ามาสยบความขัดแย้ง แท้จริงกลับสร้างยุคเข็ญ) ก็ต้องรับผิดชอบกับพวกคนที่พึ่งพาบารมีและรับบัญชาจัดการด้วย
วายป่วงกว่านั้น การใช้อำนาจอิทธิพลปกป้องเรื่องชั่วช้าสามานย์ ที่เกิดภายใต้บงการของตน ยิ่งต้องเป็นผลพวงความรับผิดชอบของหัวหน้าใหญ่โดยตรง
ว่าที่จริงเรื่องเหม็นเน่าฉาวโฉ่ขนาดหนักภายใต้การครองอำนาจของทีม คสช. นำโดยประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเวลาสองปีมานี่ มีถึงสองเรื่องใหญ่
คดีราชภักดิ์นั่นอย่างหนึ่ง ถึงแม้ผลการตรวจสอบด้วยกันเองจะออกมาหาผิดไม่ได้ แต่ก็มีแพะถูกเชือดรับบาปไปอยู่กับยมพบาลแล้วหลายคน
คดีรับงานทัพภาค ๓ โดยลูกชายปลัด กห. นี่ก็ไม่เบา ในเมื่อวงเงินเป็นร้อยๆ ล้าน แล้วมีหลักฐานชี้บ่งถึงวิธีการเอื้อประโยชน์ให้แก่คนนามสกุลสำคัญ ก็ต้องตรวจสอบกันยับหน่อย
แม้นว่าวงการต่อรองฟันธงแล้วว่า ‘กระบวนการตรวจสอบ’ ที่ประยุทธ์อ้าง จะลงเอยด้วยผู้ถูกกล่าวหาหลุดหมดทั้งยวงในที่สุดก็ตาม ความสำคัญอยู่ที่ได้มีการเปิดม่านให้เห็นสิ่งที่ว่านเครือ คสช.และลิ่วล้อมุบมิบทำกัน นั้นมันตรงข้ามกับที่โก่งคอป่าวประกาศต่อชาวโลก
ดังเช่นการคุกคามเจ้าหน้าที่องค์การแอมเนสตี้อินเตอร์แน้ทชั่นแนลสองคน ที่มาเป็นวิทยากรบรรยายในการเปิดตัวรายงานเรื่อง “Make Him Speak by Tomorrow: Torture and Other Ill treatment in Thailand.”(“บังคับให้มันพูดให้ได้ภายในพรุ่งนี้: การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายในประเทศไทย”)
ซึ่งกำหนดจะมีขึ้นที่โรงแรมโฟร์วิงส์ สุขุมวิท ๒๖ วันนี้ (๒๘ ก.ย.) แต่เวลาเช้าเก้าโมงก่อนรายการเริ่ม มีเจ้าหน้าที่ไทยไปข่มขู่วิทยากรที่เดินทางมาจากอังกฤษสองคนว่าจะถูกทำการจับกุม เพราะไม่มีใบอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย
ผลสุดท้ายผู้จัดจำต้องประกาศระงับรายการโดยสิ้นเชิง
ทว่ารายงานที่กล่าวถึงการใช้วิธีทรมานผู้ถูกกล่าวหาโดยเจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าพนักงานที่ทำตามคำสั่ง คสช. พบว่าตลอดสองปีของการครองเมืองโดย คสช. มีผู้ถูกทำทรมานทรกรรมในระหว่างการควบคุมตัวถึง ๗๔ กรณี
“เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจในไทยได้ใช้การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอย่างสม่ำเสมอกับบุคคลที่ถูกควบคุมตัว แม้ทางการจะยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ได้ทำก็ตาม”
(อ่านรายงานเต็มได้ที่นี่ file:///C:/Users/Owner/Downloads/ASA3947472016THAI.PDF)
(ลิงค์ดาวน์โหลดเอกสาร https://www.amnesty.org/en/documents/asa39/4746/2016/th/)
“กรอบกฎหมายของไทยยังคงมีข้อบกพร่องในแง่การคุ้มครองบุคคลให้ปลอดพ้นจากการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่น ๆ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ประกาศใช้โดยคสช.ภายหลังรัฐประหารไม่ครอบคลุมประเด็นการทรมาน
นอกจากนั้น ประมวลกฎหมายอาญาของไทยไม่กำหนดนิยามของการทรมานและไม่มีข้อบทเพื่อเอาผิดทางอาญาเป็นการเฉพาะ รวมทั้งกฎหมายไทยไม่มีข้อห้ามอย่างชัดเจนในการใช้ข้อมูลที่ได้มาจากการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้าย เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี”
แม้ว่าขณะนี้จะมีกฎหมายป้องกันการทรมาน ซึ่งกำหนดโทษหนักต่อการทำทรมาน กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติ ทว่าในทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไทยก็ยังใช้การทรมานโดยไม่เพลามือลงเลย รายงานกล่าว
“ใช้อำนาจที่พวกตนกำหนดขึ้นเอง รัฐบาลทหารของไทยปล่อยให้มีการทรมานเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย โดยที่ไม่มีความรับผิดชอบในการกระทำของเจ้าหน้าที่ และไม่มีความยุติธรรมให้แก่เหยื่อที่ถูกกระทำ” นายราเฟ็นดิ ดจามิน ผู้อำนวยการแอมเนสตี้สำหรับภาคพื้นเอเซียอาคเนย์กล่าวกับผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ในกรุงเทพฯ หลังจากไม่สามารถทำการบรรยายตามกำหนดการได้
(http://uk.reuters.com/arti…/uk-thailand-rights-idUKKCN11Y0AS)
รายงานแอมเนสตี้ให้รายละเอียดการทำทรมานของเจ้าหน้าที่ไทยจากหลักฐานคำให้การของผู้ถูกทรมานว่า นอกจากทุบตีทำร้ายแล้ว ยังมีการใช้ถุงพล้าสติกคลุมหน้าให้หายใจไม่ออก ปิดตาแล้วเอาน้ำหยอด (ที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘waterboarding’) และใช้ไฟฟ้าช็อต
อย่างไรก็ดี โฆษกรัฐบาล คสช. พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ผู้ได้ฉายาใหม่ว่า ‘เสธ.ห่านอู’ จากการรอติดยศพลโทใหญ่กว่าเดิม ก็ทำในสิ่งที่ถนัดด้วยการปฏิเสธพัลวัน
“เราได้ทำการสอบสวนแล้ว ไม่พบการทรมานดังกล่าว ผมไม่เห็นมีเบาะแสอะไรอย่างนั้น ประชาชนคนไทยก็ไม่เคยมีใครเห็น”
เป็นคำของโฆษกคนดังที่ถูกจับโกหกได้หลายหน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผังล้มเจ้า หรือล่าสุดกล่าวหารัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่เตรียมการป้องกันน้ำท่วมปี ๕๔ ล่วงหน้า ทั้งที่น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้าเป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากน้ำเริ่มท่วมในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก่อนหน้าหนึ่งเดือนนั่นแล้ว
ด้วยผลงานในการทำให้คณะรัฐประหารและรัฐบาล คสช. ดูดีด้วยการโป้ปดหน้าตาย เวลานี้เสธ. ห่านอูได้รับมอบหมายให้ไปคุมกรมประชาสัมพันธ์ รักษาการอธิบดีกรมโฆษณาชวนเชื่ออีกโสตหนึ่ง