วันจันทร์, กันยายน 26, 2559

เตร๊ง เตรง เตร่ง เตร๊งงงงงงง ลิเกหลงโรง พ่อปรีชา-แม่ผ่องพรรณ





ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
24 กันยายน 2559

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แม้ตัวไกลอยู่อีกซีกโลก กับภารกิจเดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ แต่ก็เชื่อว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คง “ปวดเฮด” ไม่น้อยกับ “ข่าวคาว” ของครอบครัวน้องชาย “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ดูท่าจะส่งท้ายชีวิตราชการแบบไม่แฮปปี้เอนดิ้งเท่าไร

ต้นเหตุหัวเชื้อก็มาจากเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่าง “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” ที่ จ.เชียงใหม่ ก่อนที่จะลุกลามแบบติดไฮสปีด 4 จี เป็นไฟลามทุ่งตามความเร็วของเทคโนโลยีสื่อสารในปัจจุบัน

ก็เผอิญ “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” มีชื่อไปคล้องจองกับ “มาดามอู๊ด” ผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภรรยาของ พล.อ.ปรีชา ซึ่งมีฐานะเป็นนายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตามตำแหน่งของสามี

ด้วยภารกิจตามตำแหน่ง ทำให้ “คุณนายผ่องพรรณ” ต้อง “ลงทุน” เดินทางจาก กทม.ไป จ. เชียงใหม่ เพื่อเป็นประธานมอบฝายชะลอน้ำที่จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ ตามโครงการพระราชดำริป่ารักษ์น้ำ ณ อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา (ปางปอย) ต.แม่คะ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ หรือที่ “ชาวบ้าน” ตั้งชื่อให้ว่า “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” นั่นเอง

แล้วก็เผอิญว่ามี “ภาพประกอบ” ระหว่างการเดินทางถูกแชร์ต่อๆกันทางสังคมออนไลน์ เสียงวิพากษ์วิจารณ์เลยดังกระหึ่มตามมา ทั้งเรื่องความเหมาะสมของชื่อฝาย หรือกระทั่งบรรยากาศ “เวอร์วัง” ที่คณะสมาคมภริยาฯ โดยเฉพาะ “คุณนายผ่องพรรณ” ได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ทหาร จนเกินกว่า “บุคคลวีไอพี” ทั่วไป

ในขณะที่ “บิ๊กตู่” ระแวดระวังตัว โลว์โปรไฟล์ครอบครัว-คนใกล้ชิดแบบสุดๆ แต่พอคนในตระกูล “จันทร์โอชา” ทะเล่อทะล่า เปิดชายโครงให้แบบนี้ ก็หวานคอแร้ง พวกเลยล่อเป้ากันสนุกสนาน

โดยเฉพาะเวอร์ชันรูปภาพที่หลุดออกมาเป็นกุรุส มาวันนี้ยังหาชมกันได้ที่เว็บไซต์ สมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่เต็มไปด้วยภาพกิจกรรมต่างๆ โดยมี “คุณนายผ่องพรรณ” เป็นตัวละครเอก จนถูกนำไปล้อเลียนกระหึ่มโซเชียล ที่หนักมีถึงขั้นนำไปเทียบกับคณะลิเก หรือเหน็บแนมว่า “ลิเกหลงโรง” กันเลยทีเดียว

แล้วก็ยังมีภาพที่ “บิ๊กติ๊ก” แต่งเครื่องแบบชุดขาวปกติห้อยกระบี่ โดยมี “มาดามอู๊ด” อยู่เคียงข้าง โฟกัสอยู่ที่เก้าอี้ที่ “บิ๊กติ๊ก” นั่งอยู่ ดูยิ่งใหญ่อลังการ สืบสาวราวเรื่องก็เป็นภาพในพิธีพระราชทานเพลิงศพ “บิ๊กไจแอ้นท์" พล.ต.นพพร เรือนจันทร์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 4หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตก ระหว่างทางกลับจากภารกิจช่วยผู้ประสบภัยน้ำ ท่วมที่ดอยอินทนนท์ เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จึงเป็นที่มาเครื่องแบบเต็มยศของปลัดกระทรวงกลาโหมในฐานะประธานในพิธี

ส่วนเก้าอี้ที่สุดแสนจะอลังการก็มีหลักฐานยืนยันแล้วว่าเป็นของทางวัดเอง ที่เตรียมไว้ใช้ในพิธีสำคัญๆ ที่ผ่านมาก็มีผู้หลักผู้ใหญ่ของ จ.เชียงใหม่ ใช้มาแล้วหลายต่อหลายคน โดยมีภาพของรองผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ คนหนึ่งมาเทียบเคียง อันนี้ก็ถือว่าเคลียร์คัทสิ้นกระแสสงสัยไปได้







หากแต่เคยมีคนกล่าวไว้ว่า “ภาพหนึ่งภาพแทนคำพูดนับพันคำ” ภาพของ “บิ๊กติ๊ก - มาดามอู๊ด” ในวันนั้น จึงช่างเหมาะเจาะกับเรื่องที่กำลังวิจารณ์กันมันปาก

กระแสการโจมตีครอบครัว “จันทร์โอชาผู้น้อง” ต้องแยกเป็น 2 ประเด็น โดยเรื่องที่หวือหวาเล่นกันโครมครามก็เป็นเรื่องความเวอร์วังจะพุ่งเป้าไปที่ตัว “มาดามอู๊ด” มากกว่าฝ่ายสามีที่เป็นนายทหารที่เติบโตในต่างจังหวัด หรือ “นายทหารบ้านนอก” ก่อนจะมารับตำแหน่งใหญ่ในช่วงปลายชีวิตราชการ ซึ่งจะเกษียณในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้

ไล่ตั้งแต่การจัดทำฝายที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งให้เหตุผลว่าเป็นประโยชน์ให้ประชาชนใน 15 หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรมเกือบหมื่นไร่ เรื่องที่เป็นประโยชน์เช่นนี้คงไม่มีใครไปวิพากษ์วิจารณ์ แต่ติดอยู่ชื่อ “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” ที่ถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการนำชื่อภริยาปลัดกระทรวงกลาโหมมาตั้ง ทั้งที่ใช้งบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน ถึงจะเป็นความคิดริเริ่มของตัวเองก็ตาม พฤติกรรมเหมือนต้องการสร้างคะแนนนิยม ไม่ต่างจากวิธีการของนักการเมืองในอดีตที่ คสช.รังเกียจยิ่งนัก

ฝ่าย “มาดามอู๊ด” ก็อ้างนิ่มๆว่า การตั้งชื่อฝายแม่ผ่องพรรณฯนั้น เกิดจากที่ชาวบ้านคิดขึ้นมา เพราะคุ้นเคยกันดี ยามไปลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและช่วยเหลือชาวบ้าน และก็เป็นชื่อที่จำง่ายเท่านั้น

ต่อเนื่องมาถึงเรื่องความจำเป็นที่ต้องยกคณะไปเพื่อร่วมพิธีเปิดฝายถึง จ.เชียงใหม่ ซึ่งก็มีภาพถ่ายเป็นหลักฐานยืนยันว่า สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ได้มีหนังสือของความร่วมมือเครื่องบิน C 130 ของกองทัพอากาศ (ทอ.) โดยระบุว่าเป็นภารกิจของปลัดกระทรวงกลาโหมและคณะ แต่เมื่อถึงวันจริงกลับเป็นคณะของนายกสมาคมภริยาฯที่นำโดย “มาดามอู๊ด” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ที่เสื้อผ้าหน้าผมจัดเต็มราวกับจะไปกาล่าดิเนอร์

แล้วยิ่ง “บิ๊กติ๊ก” ออกมาชี้แจงกรณีว่า “ฝายแม่ผ่องพรรณฯ” ใช้งบประมาณของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมไปเพียง 7,800 บาทเท่านั้น ก็ยิ่งเหมือน “ขยี้” เรื่องความจำเป็นพิธีเปิดที่ต้องยกคณะสมาคมภริยาฯไปหลายสิบชีวิต อีกทั้งวันที่ 12 กันยายน ซึ่งเป็นวันจัดพิธีเปิดฝาย เป็นวันจันทร์ และอยู่ในเวลาราชการ กลับมีการใช้ทรัพยากรขององทัพ ทั้งเครื่องบิน C130 ที่รับส่งคณะไปกลับ กทม.-เชียงใหม่ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทหาร-ข้าราชการที่มาคอยต้อนรับ เพียงแค่นี้ก็ต่างสรุปเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่คุ้มค่า”

ยิ่งมีผู้สันทัดกรณีคำนวณค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้เครื่องบิน C130 ที่หากนำขึ้นบินจะตกชั่วโมงละไม่ต่ำกว่าแสนบาท เมื่อคำนวณระยะทางไปกลับ กทม.-เชียงใหม่แล้วก็ตกอยู่ที่อย่างต่ำ 2-3 แสนบาท เมื่อเทียบกับภารกิจการนำคณะสมาคมภริยาฯไปเปิดฝายมูลค่า 7,800 บาท ก็มีคำตอบในตัวมันอยู่แล้ว

เรื่องนี้เป็นปมหนึ่งที่ ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นำไปยื่นให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบว่า “บิ๊กติ๊ก” และนายทหารระดับสูงอีก 3 ราย หนึ่งในนั้นมี พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง ผู้บัญชาการทหาร อากาศ (ผบ.ทอ.) รวมอยู่ด้วย ฐานนำ “ทรัพยากรของหลวง” ไปอำนวยความสะดวกให้กับคณะ “มาดามอู๊ด” ซึ่งอาจเข้าข่ายทุจริตต่อตำแหน่งหรือหน้าที่ ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542

ดูเหมือนครอบครัว “จันทร์โอชาผู้น้อง” จะไม่สะทกสะท้านเรื่องที่ถูกวิจารณ์สักเท่าไร โดยเฉพาะ “คุณนายผ่องพรรณ” ที่พูดอย่างหน้าชื่นตาบานว่า “ช่วงนี้เรตติ้งกำลังแรง ขออยู่เฉยๆดีกว่า เราก็อยู่ของเรา เราตั้งใจทำให้ชาวบ้าน ชื่อชาวบ้านตั้งเอง เขาเรียกชื่อพ่ออุ้ยแม่อุ้ย เราบอกจะใช้ชื่ออะไรก็แล้วแต่ ชาวบ้านเลยใช้ชื่อแม่ เพราะจำง่ายดี และไม่เครียด”

และก่อนหน้านั้นก็มี “ขบวนการแก้ข่าว” ผ่าน “สื่อสายทหารคนดัง” ระบุประมาณว่า สาเหตุที่มีภาพหลุดและถูกโจมตีก็เนื่องมาจากความขัดแย้งภายในสมาคมภริยาฯที่บางครั้ง “คุณอู๊ด” เป็นคนตรงไปตรงมาและดุไปบ้าง จึงทำให้บางคนโกรธเคือง รวมทั้งผู้ที่ไม่พอใจในการโยกย้ายแต่งตั้งนายทหารระดับสูงที่ผ่านมาด้วย

กรณี “ฝายแม่ผ่อง” กลายเป็น “โดมิโนเอฟเฟกต์” ที่ทำท่าจะเดือดร้อนคนทั้งบ้าน “จันทร์โอชาผู้น้อง” เพราะก่อนหน้านี้ตัว “บิ๊กติ๊ก” ในฐานะน้องชายนายกฯก็ถูกเพ่งเล็งมาอย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่สมัยยื่นบัญชีทรัพย์สินเพื่อเข้ารับตำแหน่ง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ปรากฏว่ามี เงินสหกรณ์ออมทรัพย์กองทัพภาคที่ 3 กว่า 47 ล้านบาท มาโผล่อยู่ในบัญชีส่วนตัวของ “ผ่องพรรณ” แม้ว่า ป.ป.ช.ไม่ได้ติดใจสงสัย และการันตีด้วยว่า “บิ๊กติ๊ก” ยื่นแสดงรายการทรัพย์สินถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้ทำให้สังคมสิ้นสงสัยมาถึงทุกวันนี้

ถัดมาก็เป็นท้องเรื่อง “ใครๆ ก็ทำกัน” กรณีที่กระทรวงกลาโหมที่มีปลัดกระทรวงชื่อ “ปรีชา” อนุมัติบรรจุ นายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา บุตรชายคนที่2 ของ “พ่อปรีชา - แม่ผ่องพรรณ” เข้ารับราชการในตำแหน่ง นายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 3 (อัตรา พ.ต.) และแต่งตั้งยศเป็นว่าที่ร้อยตรี (เหล่า สบ.) รับเงินเดือนสตาร์ทที่ 15,000 บาทต่อเดือน จนเกิดข้อครหาว่า “พ่อเซ็นรับลูกเข้ารับราชการทหารด้วยตัวเอง”

และเป็นที่มาของ “วรรคทอง” ที่ “บิ๊กติ๊ก” ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ลูกชายจบปริญญาตรีมา ก็ต้องทำงาน เมื่อมีตำแหน่งว่าง ก็ให้เข้ามาทำงาน ซึ่งก็มีหลายคนในกองทัพที่ทำแบบนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ลูกชายพี่คนเดียวที่ทำแบบนี้ได้”

ถ้าจำกันได้ตอนนั้นเกิดดรามา เมื่อ “หนุ่มป้อง - ปฏิพัทธ์” เที่ยวโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวในทำนองไม่ได้อยากเป็นทหาร แต่ถูกพ่อบังเกิดเกล้าบังคับ ทั้งที่ถือเป็นโอกาสงามที่ลูกตาสีตาสาไม่อาจเอื้อมถึง จนแล้วจนรอดเรื่องก็เงียบไป ก่อนจะมีภาพเซลฟี่ “พ่อติ๊ก - ลูกป้อง” ในเครื่องแบบทหารยิ้มแฉ่งด้วยอารมณ์แฮปปี้สุดๆหลุดออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อน

เอฟเฟ็กต์สุดท้าย แต่อาจจะไม่ท้ายสุด ซึ่งดูจะเป็นเรื่องลุกลามใหญ่โต เพราะมัน “ย้อนแย้ง” กับแนวทาง-คำประกาศกร้าว “ปราบโกง” ของรัฐบาล คสช.ภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” เสียยิ่งกระไร กับกรณีที่ “สำนักข่าวอิศรา” ไปขุดข้อมูลมาได้ว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ซึ่งมี “หนุ่มกบ” ปฐมพล จันทร์โอชา บุตรชายคนโตของ “พ่อติ๊ก - แม่อู๊ด” เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการอยู่นั้นไปรับงานก่อสร้างของ กองทัพภาคที่ 3ช่วงตั้งแต่เดือนธันวาคม 2557 - เมษายน 2559 ทั้งสิ้น 7 โครงการมูลค่ากว่า 97 ล้านบาท เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ “ลูกชายปลัด” รับงานในกระทรวงเท่านั้น เพราะก่อนที่ “บิ๊กติ๊ก” จะก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งสูงสุดในขณะนี้ก็มีชีวิตราชการวนเวียนอยู่ในกองทัพภาคที่ 3 มาโดยตลอด ครั้งหนึ่งเคยขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 เสียด้วย







แม้ช่วงเวลาที่ “หจก.คอนเทมโพรารี” เริ่มรับงานจากกองทัพภาคที่ 3 นั้น “บิ๊กติ๊ก” จะบ่ายหน้าเข้ากรุงมารับตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผู้ช่วย ผบ.ทบ.) เข้าไลน์ลุ้นเป็น “แม่ทัพบก” แล้วก็ตาม แต่อย่างไรเสีย “บิ๊กติ๊ก” ก็ปฏิเสธได้ยากถึงอิทธิพลที่ยังมีอยู่ในกองทัพภาคที่ 3 โดยเฉพาะผู้ที่มาสืบทอดเก้าอี้ทั้ง “บิ๊กแม็ก” พล.อ.สาธิต พิธรัตน์ อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ช่วงปี 2557-2558 ที่ตอนนี้ขยับมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก หรือ พล.ท.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ทัพภาคที่ 3 คนปัจจุบัน ที่กำลังขยับมาเป็น ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ก็เป็นน้องรักของ “บิ๊กติ๊ก” ทั้งคู่

ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า สถานะ “บิ๊กติ๊ก” ช่วงปลายปี 2557 ไม่ใช่แค่ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ธรรมดา แต่เป็นถึง “น้องชายหัวหน้า คสช.” ต่างหากที่ทำให้คนเกรงใจ และหาก “บิ๊กติ๊ก” ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพภาคที่ 3 ก็คงไม่ส่ง “หนุ่มป้อง - ปฏิพัทธ์” ลูกชายคนเล็กไปประจำหน่วยที่ ทภ.3 หรอก

มองในแง่ธุรกิจ “หจก.คอนเทมโพรารี” มีทุนจดทะเบียน 1.5 ล้านบาท ในทางกฎหมายคือ มีความรับผิดชอบหากเกิดข้อผิดพลาดหรือผิดสัญญาเพียง 1.5 ล้านบาทเท่านั้น แต่นี่สามารถรับงานได้เป็นหลักร้อยล้านบาท ซึ่งหากไม่มีการ “เปิดทาง” ให้กันตั้งแต่การทำ “ทีโออาร์” หัวบริษัทเล็กๆแบบนี้คงหมดสิทธิ์

“บิ๊กติ๊ก” อาจพูดถูกว่าสาเหตุที่ถูกจ้องโจมตีขนาดนี้เพราะมีนามสกุล “จันทร์โอชา” และก็พูดถูกอีกว่า ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบราชการ มีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการปฏิบัติ และพร้อมที่จะชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ตามที่มีผู้ไปยื่นร้องเรียนไว้

แต่อาจจะทำให้สังคมเชื่อได้ยากว่า เรื่องงานต่างๆในกองทัพภาคที่ 3 เป็นอำนาจของแม่ทัพภาค 3 ลงนาม ไม่ได้เป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหมที่ตัวเองเป็นปลัด เพราะไล่เรียงไปแล้วว่า “บิ๊กติ๊ก” ก็ยังคงมีอิทธิพลอยู่ในกองทัพภาคที่ 3

น่าสนใจว่าเมื่อพี่ชายแท้ๆไม่อยู่ ติดพันราชการต่างแดน คนที่ออกมากางปีกปกป้องครอบครัว “จันทร์โอชาผู้น้อง” เป็นถึงผู้มากบารมีคนปัจจุบันอย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ว่า “น้องติ๊ก - น้องอู๊ด” ไม่ใช่คนทะเยอทะยาน หรืออยากเป็นใหญ่เป็นโต ส่วนเรื่องบริษัทลูกชายก็เป็นเรื่องที่ประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (อี-บิดดิ้ง) ตามกระบวนการเท่านั้น เป็น “บิ๊กป้อม” คนเดียวกับที่เคยปกป้องกรณีตั้งลูกชายคนเล็กของ “บิ๊กติ๊ก” เข้ารับราชการทหาร ว่า ทำได้ไม่มีปัญหา

โดยไม่ลืมที่จะย้ำตรรกะเดิมๆว่า ที่สังคมมีความสงสัยนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะ นามสกุลจันทร์โอชาเท่านั้นเอง

พร้อมสร้างบรรทัดฐานใหม่ โดยอาจหลงลืมเรื่อง “วาระปราบโกง” ไปชั่วขณะ เมื่อ “บิ๊กป้อม” ตอบคำถามที่ว่า หากนักการเมืองที่มีนามสกุลเดียวกันมารับประมูลโครงการภาครัฐ เช่นเดียวกับกรณี “บิ๊กติ๊ก” สามารถทำได้หรือไม่ อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “หากเป็นไปตามข้อบังคับของกฎหมาย ก็สามารถทำได้”







ยังไม่มีใครฟันธงได้ว่า “นายกฯตู่” จะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร มีเพียงกระแสข่าวที่ว่า ได้ต่อสายตรงมาจากสหรัฐอเมริกา เบรก “น้องติ๊ก”ว่าไม่ต้องชี้แจงอะไรเกี่ยวเรื่องนี้ เดาไม่ยากว่า “พี่ตู่” คงห่วงว่า เรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านี้หากปล่อยให้ “น้องชาย - น้องสะใภ้” ออกมาแก้ต่าง ในเมื่อกระแสสังคมตั้งคำถามอย่างรุนแรง

ในเวลาไล่เลี่ยกันมีประเด็นพูดถึงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดอันเกิดจากประโยชน์ส่วนตนขัดกับผลประโยชน์ส่วนรวมที่ขนานนามกันว่า “กฎหมายปราบโกง 7 ชั่วโคตร” ซึ่งตอนหลังมีการปรับลดมาเหลือเพียง 4 ชั่วโคตร ตามคำอธิบายของ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี

“4 ชั่วโคตร คือผู้กระทำผิดเป็นโคตรที่ 1 ถ้าเอื้อประโยชน์ต่อลูกเป็นโคตรที่ 2 เอื้อประโยชน์พ่อแม่เป็นโคตรที่ 3 เอื้อประโยชน์ต่อพี่น้องเป็นโคตรที่ 4 แต่ไม่ใช่ว่าทำผิดและไปลงโทษ 4 ชั่วโคตรเหมือนสมัยก่อน คนที่โดนคือข้าราชการคนเดียว แต่ว่าเอื้อประโยชน์ต่อใคร”

ประเด็น “บิ๊กติ๊ก - มาดามอู๊ด - ลูกชาย” น่าจะเป็นกรณีศึกษาที่ดีว่า ถือเป็นการเอื้อประโยชน์กันหรือไม่ ทั้งการออกหนังสือให้ภรรยาใช้เครื่องบินหลวง การตั้งลูกชายเข้ารับราชการ หรือบริษัทลูกชายมารับงานจากหน่วยงานในสังกัด แล้วหากพิสูจน์ทราบว่า เข้าข่ายการกระทำผิดจริง จะมีปกป้องให้เกิดข้อครหา “สองมาตรฐาน” อีกหรือไม่

เพราะในขณะที่ “คนการเมือง” กำลังถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด แต่ดูเหมือนหลายๆกรณีของ “บิ๊ก คสช.” จะยังคงมีความเหลื่อมล้ำกับบุคคลอื่นๆ มีการตัดสินชี้ขาดโดยองค์กรของรัฐ หรือองค์กรอิสระที่ค้านสายตาประชาชนมาตลอดช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องเปราะบางมากกับกระแสศรัทธาที่ประชาชนมอบให้ “บิ๊กตู่” และ คสช. ซึ่งประกาศย้ำถึงการขับเคลื่อนปฏิรูปด้านต่างๆ

และวาระเรื่องการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นก็อยู่ในลำดับต้นๆ ก่อนบินไปสหรัฐฯ ตัวนายกฯเองก็เพิ่งไปร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชั่นในคอนเซปต์“ส่องไฟปราบโกง” หากปล่อยให้เกิดเรื่องซ้ำรอยในสิ่งที่ตัวเองประกาศจะแก้ไข ก็น่าเป็นห่วงกระทบชิ่งไปทำให้งานใหญ่ตามโรดแมปต้องเสียขบวน

จะว่าไปก็น่าเห็นใจ “บิ๊กตู่” ที่สู้อุตส่าห์ลุยงานสายตัวแทบขาด ทำดีแทบตาย สร้างกระแสศรัทธาให้กับรัฐบาล คสช.มาขนาดนี้ แต่อาจต้องมา “ตกม้าตาย” ด้วยความโฉ่งฉ่างของ “คนใกล้ตัว” แบบนี้

จะเอาไงก็ว่ากันมา แต่อย่างัดมุก “ใครๆ ก็ทำกัน” มาเป็นคำตอบสุดท้ายอีกนะ ปัดโธ่!!.