วันเสาร์, กันยายน 24, 2559

ความคิดแบบ 'ทรั้มพ์' 'ปูติน' autocratic ของ คสช.





Millennial อเมริกันเลือดไทยเล่าความ “There’s a bomb in Thailand this morning.”

Baby Boomer อเมริกันเลือดไทยตอบ “It happens every day over there. น่ะแหละ”

ข่าวรอยเตอร์เล่าขาน “ตำรวจไทยสามคนเสียชีวิต อีกสองคนบาดเจ็บเมื่อวันศุกร จากการโจมตีด้วยระเบิดและปืนที่จังหวัดยะลาในภาคใต้สุดซึ่งขบวนการก่อการร้ายยั่งกรุ่นไม่หาย”

“การโจมตีครั้งนี้ห่างไม่ถึงเดือนกับการวางระเบิดจุดท่องเที่ยวสามแห่งทำให้คนตายสี่บาดเจ็บอีกเป็นสิบๆ ทำให้เป็นที่หวาดหวั่นกันว่าการก่อการร้ายได้ขยับออกมานอกบริเวณใต้สุดติดชายแดนแล้ว”

“การเจรจากับขบวนการก่อการร้ายเริ่มเมื่อปี ๒๕๕๖ ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ต้องหยุดไปเมื่อรัฐบาลของเธอถูกยึดอำนาจโดยคณะทหารในปี ๒๕๕๗”

“เมื่อต้นเดือนมีการเจรจากันในมาเลย์เซียระหว่างกลุ่มก่อการร้ายและฝ่ายไทย แต่ก็ไม่ปรากฏความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน...

ผลการเจรจาที่ไม่คืบหน้า และต่างฝ่ายต่างไม่กระตือรือร้นแม้จะมีระเบิดเมื่อเดือนที่แล้ว แสดงถึงประสิทธิภาพของฝ่ายก่อการร้ายในการทำลายทั้งชีวิตคนและเศรษฐกิจ”

“ประเทศไทยเสนอให้สร้างกำแพงกั้นตลอดแนวชายแดน ๖๔๐ กิโลเมตร เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ผู้ก่อการร้ายแอบข้ามไปข้ามมากับมาเลย์เซีย ซึ่งนักวิจัยชี้ว่าถูกใช้เป็นที่หลบซ่อนและวางแผนโจมตี”

(http://www.thenational.ae/…/bomb-kills-three-policemen-in-t…)

นี่เป็นวิธีคิดแบบเดียวกับดอแนลด์ ทรั้มพ์ ผู้เข้าแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน ที่ประกาศจะสร้างกำแพงปิดกั้นชายแดนกับเม็กซิโกสกัดพวกลอบเข้าประเทศ ซึ่งเขาอ้าว่าเป็นอาชญากร มิจฉาชีพ และค้ายาเสพติด

โดยไม่คำนึงถึงการติดต่อสัมพันธ์แลกเปลี่ยนข้ามเขตแดนระหว่างสองประเทศ ที่มีมูลค่ามหาศาลทั้งทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และมนุษยสัมพันธ์ นอกเหนือจากและมากกว่าคนร้ายคนเลวทั้งหลาย

เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วนี่เองบริษัทฟอร์ดมอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์อันดับสองของอเมริกาประกาศย้ายการผลิตรถขนาดเล็กทั้งหมดไปที่เม็กซิโก ก่อนหน้านี้เม็กซิโกเป็นประเทศที่รับทำการประกอบ/ผลิตรถยนต์ เป็นอันดับสามของโลกรองจากญี่ปุ่นและสหรัฐ

ขณะที่ไทยซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางประกอบรถยนต์ขนาดใหญ่ในเอเซีย แต่หลังรัฐประหารเป็นต้นมาทั้งญี่ปุ่น ยุโรปและอเมริกาพากันถอดตัว ปิดโรงงานเลิกจ้างหรือย้ายฐานไปประเทศใกล้เคียง เวียตนาม มาเลย์เซีย แม้กระทั่งลาวและเขมร





เมื่อวานนี้นายวราดิเมียร์ เซอริงน้อฟสกี้ แห่งพรรคชาตินิยมสุดโต่งผู้ได้ชื่อว่าเป็น ‘ทรั้มพ์ของรัสเซีย’ ประกาศหลังจากชนะเลือกตั้งว่า เดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี่จะได้ฉลองกันอีกครั้ง “เป็นฮอลิเดย์ในรัสเซีย” ถ้าทรั้มพ์ได้เป็นประธานาธิบดีอเมริกัน

(http://www.cbsnews.com/…/meet-the-man-called-the-donald-tr…/)

ประธานาธิบดีวราดิเมียร์ ปูติน ได้แสดงออกนอกหน้าแล้วว่าต้องการให้ทรั้มพ์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งของสหรัฐ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างครอบครัวของทรั้มพ์และปูติน โดยเฉพาะอีวังก้าลูกสาวทรั้มพ์นับว่าเป็นคู่หูกับแฟนของปูติน





จะว่าประเทศไทยและผู้นำไทย (ทหารนักการเมือง เช่นประยุทธ์ จันทร์โอชา) เดินตามรอยปูตินและรัสเซีย เพียงเพราะความคิดสร้างกำแพงคงไม่พอ แต่ก็มีความคล้ายคลึงอื่นๆ ชวนให้คิดว่าแนวดน้มมันมี

ปูตินเป็นประธานาธิบดีของรัสเซียในลักษณะ autocrat ใช้อำนาจเด็ดขาด และปกครองอย่างกำปั้นเหล็ก ironfisted แม้กระทั่งมีนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งนักสิทธิมนุษยชนที่ต่อต้านปูติน เสียชีวิตอย่างปริศนาไปหลายคนแล้ว





ประยุทธ์ถึงจะพูดเล่นหัว-ทีจริง แต่ก็ใช้อำนาจมาตรา ๔๔ และคำสั่งคณะยึดอำนาจ ทำให้ผู้เห็นต่าง นักสิทธิมนุษยชน และพวกเรียกร้องประชาธิปไตยต้องเสียอิสรภาพ ถูกขู่เข็ญคุกคาม พร้อมทั้งโดนตั้งข้อหาคดีอาญาร้ายแรงกันไปแล้วมากราย

ไม่มีหลักประกันอันใดเลยว่าสภาพดังกล่าวอาจจะเข้มงวดและเลวทรามยิ่งขึ้น ตลอด ๕ ปีบวก ๑ ข้างหน้าก็ได้





โพลอะไรต่อมิอะไรที่ออกมาเชิดให้ประยุทธ์และ คสช. ครองเมืองกันต่ออีกอย่างน้อย ๕-๖ ปี ไม่ต่างกับคะแนนนิยมต่อปูตินและลิ่งล้อของเขา ที่ยิ่งมากขึ้นขณะนี้ในรัสเซีย กรุงเทพโพลล่าสุด ๖๓ เปอร์เซ็นต์ให้ประยุทธ์ใช้ ม.๔๔ ในการยึดทรัพย์คนในรัฐบาลที่ถูก คสช. รัฐประหาร ก็ไม่ต่างกันนักกับโพลในรัสเซีย

ล้วนเป็นความนิยมในทางการใช้อำนาจเด็ดขาด รักษาจารีตเคร่งครัด และจำกัดความคิดให้อยู่แต่ในกรอบ พวกคิดนอกกรอบจะถูกกำจัด ในรัสเซียนั้นเครือข่ายอิทธิพลของปูตินเหนียวแน่น





ในเมืองไทยเครือข่ายองค์กรอิสระ พวกตุลาการศาล และนักการเมืองเกาะหน้าแข้ง คสช. เป็นเส้นสายที่ใช้กำจัดฝ่ายตรงข้ามของคณะทหาร คสช. กันอย่างฮึกเหิมในขณะนี้

คนทั่วไปที่เรียกตัวเองว่า ‘ไม่เหลือง-ไม่แดง’ ไม่คิดที่จะตั้งคำถามและข้อกังขาว่าทำไมการทำมาหากินฝืดเคืองลงไป การค้าขายแบบ street vendors ที่เคยคึกคัก ชุลมุน พัลวัล เมื่อสิบปีที่แล้วมาจนถึงสามปีก่อนกลับเงียบเหงา สุดหงอย





สิ่งที่ทำให้คนทั่วประเทศตื่นเต้นเป็นประเด็นร้อน ต้องออกมาถกเถียงกันอึงคนึง กระทั่งเจ้าฟ้ายังเสด็จลงอินสตาแกรมทรงร่วมวงด้วย จนถึงกับมีการกราบกรานขออภัยกันในที่สาธารณะ เนื่องจากนำตัวละครโขนไปใช้ประชาสัมพันธ์อย่างเก้งก้างผิดเพี้ยนไปจากประเพณีโบราณ

บ้านเมืองที่ ‘เดินหน้าไปหาอดีต’ นั้นสิ้นหวังเสียยิ่งว่า ‘ถอยหลังไปสู่อนาคต’ จะเป็นไตแลนเดีย ๔.๐ หรือสยาม ๐.๓ มันก็แป้ะเอี้ย ไม่ต่างกัน