วันอาทิตย์, เมษายน 03, 2559

ได้ฟังทั่นผู้นัมบ์คร่ำครวญ ทำนองน้อยใจ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. น้ำตาจะไหล





น้ำตาจะไหล ได้ฟังทั่นผู้นัมบ์คร่ำครวญกับวีโอเอที่ดี.ซี. ว่าพวกฝรั่งจะเอาแต่ประชาธิปไตย แถมหาว่า คสช. กดขี่ทำร้ายประชาชน

ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้ารัฐประหารไทยบอกกับสำนักข่าวเสียงจากอเมริกาว่า “ตอบคำถามกับหลายประเทศที่มาหา เขาก็พูดแต่ประชาธิปไตย การเลือกตั้งและสิทธิมนุษยชน

โดยเขาไม่ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยทำไมตนต้องเข้ามา โดยตนได้บอกเหตุทุกครั้งแต่เขาไม่ใส่ใจ ไปใส่ใจแค่เพียงเรื่องสิทธิมนุษยชน

เพราะมีคนไปพูดให้เขาฟังว่ารัฐบาลนี้เข้ามาแล้วฆ่าคนตายไปเท่านี้เท่านั้น เอาคนมาติดคุกเป็นพันๆ คน ฆ่านักข่าวไป ๔๐๐-๕๐๐ คน เอาถุงดำครอบหัวประชาชน

ผมไม่เคยทำสักอย่าง”

(http://www.voathai.com/a/interview-thai-prime-…/3264153.html)

แต่เรื่องเหล่านั้นมันเกิดขึ้นแล้ว ทั่นบอกไม่เคยทำก็ต้องเชื่อละ เพราะคนที่ทำจริงกับมือเป็นพวกลิ่วล้อของทั่นตะหาก (พวก ‘ห่าน’ จัดการงานนอกสั่ง ดิ)

เอาละ ฟังทั่นต่อแล้วจะเศร้า “ผมไม่ได้พักผ่อนมาตั้งนานแล้ว จำได้ตั้งแต่เด็ก มาถึงวันนี้ นอนก็ไม่หลับ หลับไม่สบายสักวัน” อูยนี่ถ้าเป็นเฟชบุ๊คจะต้องใส่อีโม ‘น้ำตาไหล’

“พอมาเป็น ผบ.ทบ. ๔ ปี ก็ไม่ใช่ง่าย มันก็หนักนะ ที่ต้องประคับประคองกองทัพให้เข้มแข็งให้ได้ แล้วก็มาเป็นนายกฯอีก ๒ ปี คุณก็ดูสิ ผมไม่ได้พักเลย”

โถ น่าสงสาร ทั่นต้องเอาชะตากรรมไปผูกไว้กับประเทศชาติ แล้วใครกันนะที่ดัน ‘เผือก’ ขอให้ทั่นอยู่ต่ออีก ๕ ปี ๒๐ ปี ทุรมานทุรเวร น่ะ





อย่างที่มีเจ้าหน้าที่หน่วยม้าจังหวัดน่าน ร่วมกับหมาต๋าภูธรเวียงสากะปัว บุกเข้าไปยึดของกลางวัสดุที่เป็นภัยต่อความมั่นคง จำนวนเกือบ ๙ พันใบ นั่นหลังจากดำเนินคดีต่อสตรีวัยกลางคนชาวเชียงใหม่ ที่ลงภาพตนเองชูขันแดง ของกำนัลจากสองอดีตนายกฯ ตระกูลชินวัตร

ซึ่งทำให้สื่อฝรั่งอ้างถึงว่าเป็น “หนึ่งในผู้ต้องตกเป็นเหยื่อของการกดขี่ข่มเหงต่อคนที่วิจารณ์คณะทหาร คือนางธีรวรรณ เจริญสุข ซึ่งอาจต้องติดคุกถึง ๗ ปี”





นั่นเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่รายงานข่าว ‘อ็อปเอ็ดนิวส์’ กล่าวถึงการที่ประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรแนบชิดกับอเมริกาทางประชาธิปไตย ‘เลี้ยวขวาฉับพลัน’ ไปสู่การใช้อำนาจบาตรใหญ่ นอกเหนือจากใช้กฎหมายหมิ่นศักดิ์ศรีกษัตริย์เป็นอาวุธทำร้ายฝ่ายตรงข้าม และนำนักกิจกรรม นักหนังสือพิมพ์ ไปดำเนินคดีต่อการที่พวกเขาเปิดโปงการละเมิดสิทธิมนุษยชน

(http://www.opednews.com/…/How-the-TPP-Helps-Dictator-by-Jam…)

แก่นของเนื้อถ้อยบทความโดยเจมส์ เลสซันส์ มุ่งชี้ให้เห็นว่าคณะผู้นำทหารไทยที่เคยถูกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐตำหนิเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน และกำหนดหนทางกลับสู่ประชาธิปไตยอย่างมีเล่ห์กลนั้น

“พยักหน้ารับ ‘อย่างไม่เป็นทางการ’ ต่อโครงการดำริโดดเด่นของประธานาธิบดีโอบาม่า เพื่อจะกลับเข้าสู่แวดวงโอบอ้อมด้านดีของกรุงวอชิงตัน” ซึ่งก็คือ ‘หุ้นส่วนทรานสแปซิฟิค’ หรือ TPP

โครงการในลักษณะเขตเศรษฐกิจทางการค้าที่สหรัฐชักนำประเทศในย่านเอเซียแปซิฟิคเข้าร่วมเพื่อแข่งขันกับโครงการ ‘เส้นทางไหม’ ที่จีนขยายออกไปเกือบทั่วโลกไม่เฉพาะย่านเอเซียใกล้เคียงนี้ ได้รับการโจมตีอย่างหนักจากภายในสหรัฐเอง ว่าเป็นการอุ้มชูบรรษัทยักษ์ใหญ่อเมริกันที่ส่งงานออกไปผลิตนอกประเทศ ซึ่งใช้ต้นทุนและค่าแรงต่ำเพื่อทำกำไรสูงสุด หากแต่เป็นผลเสียต่อการจ้างงานในอเมริกาเอง และยังกดขี่แรงงานในประเทศกำลังพัฒนาด้วย

ขณะที่มาเลย์เซียและเวียตนามโอบรับทีพีพีอย่างเต็มที่ ประเทศไทยสงวนท่าทีมาแต่แรก โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่การปกครองของทหารหลังการรัฐประหาร อาการสบัดหน้าไปหาจีนของคณะฮุนต้าทำให้จำต้องละล้าละลังไม่สามารถกระโดดกลับเข้าใส่ดั่งกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมข้ามชาติในประเทศไทยเรียกร้อง

จนเมื่อการที่ คสช. อวดดีพยายามจะตีไพ่ จีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือ ไม่เป็นผล การทาบทามความร่วมมือทางการลงทุนและค้าขายกับจีนออกมาไม่สวย จากโครงการรถไฟทันสมัยที่จะให้จีนลงทุนสร้างแต่ได้แค่เร็วปานกลาง ซ้ำต้องประเคนทั้งรายได้และสิทธิพิเศษระยะยาว มาลงเอยที่ความเร็วสูงเส้นสั้นๆ จ้างจีนสร้างด้วยเงินกู้จากจีน ทำให้ทีมงานประยุทธ์หันมาฟังทีมของกลิน เดวี่ส์ และแพ้ทริค เมอร์ฟี่ มากขึ้น

จนเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม นางซาร่าห์ ซิวเวิล อธิบดีกรมความมั่นคงพลเรือน ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการสนทนากันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในประเทศไทย





(ดูรายงาน Exclusive: Managing the Strained U.S.-Thailand Alliance )

ในแถลงการณ์หลังเข้าพบระบุว่านางซิวเวิล “ผลักดันให้ประเทศไทยรื้อฟื้นการปกครองอย่างเป็นประชาธิปไตย และเน้นในความสำคัญของการเคารพต่อเสรีภาพในการแสดงออกอย่างเต็มที่ รวมทั้งสิทธิมนุษยชนอื่นๆ และเสรีภาพพื้นฐานต่างๆ ในอันที่จะคงไว้ซึ่งระบบการปกครองและสถาบันอย่างยั่งยืน”

บทความของวารสาร เดอะดิโพลแม็ท แจ้งว่า นับแต่รัฐประหาร ประเทศไทยมีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนเพิ่มขึ้น พลเรือนถูกดำเนินคดีในศาลทหาร ผู้ที่วิจารณ์คณะทหารผู้ปกครองถูกควบคุมตัวปรับทัศนคติ กฎหมายหมิ่นกษัตริย์ถูกนำไปใช้ต่อต้านฝ่ายตรงข้าม

และ “...ผู้สังเกตุการณ์ใกล้ชิดได้ตั้งข้อสังเกตุไว้แล้วว่า การเปลี่ยนเนื้อหารัฐธรรมนูญและชั้นเชิงอื่นๆ แสดงว่าการทำประชามติจะไม่มีความหมาย ถึงจะให้มีการออกเสียงเกิดขึ้นจริงๆ ก็ตาม” (ดูบทความ ‘Why Thailand’s Next Election May Not Matter’)

“นอกเหนือจากเข้าพบประยุทธ์แล้ว นางซิวเวิลยังได้เดินทางไปสงขลา เธอแสดงจุดเด่นต่อความจำเป็นของกระบวนการเจรจาเพื่อสันติเพื่อหาข้อยุติต่อปัญหาในภาคใต้ของไทย”

นอกนั้นเธอยังไปเยี่ยมสถาบันความร่วมมือนานาชาติสหรัฐ-ไทยในกรุงเทพฯ “เธอเน้นในความสำคัญของความร่วมมือในภูมิภาคในการต่อสู้อาชญากรรม เคารพสิทธิและยืนยันกาคุ้มครองโดยกฎหมายแก่ประชาชนทุกผู้ฝ่ายภายใต้กฎหมายแบบเดียวกัน” ด้วย

(http://thediplomat.com/…/us-urges-thailands-military-to-re…/)

บทบาทของอธิบดีกรมในกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ระหว่างการเยือนประเทศไทยช่วง ๒๕-๒๘ มีนาคมนี้ ชี้ชัดว่าทางการสหรัฐซึ่งก่อนหน้านี้เอกอัคราชทูตคนใหม่พยายามเกี้ยวพาให้ไทยเข้าร่วมทีพีพีอย่างเต็มที่ มาบัดนี้ก็ยังยืนกรานในคำเรียกร้องให้ไทยคืนสู่วิถีประชาธิปไตยอย่างแข็งขันไม่น้อยกว่าที่สหภาพยุโรปเรียกร้อง

ในการเยือนสหรัฐเพื่อร่วมประชุมสุดยอดอุตสาหกรรมนิวเคลียร์กับผู้นำอีก ๕๑ ชาติ ประยุทธ์จึงได้ทำการ ‘ทอดสะพาน’ ด้วยคำพูดว่า “ท้ายที่สุดแล้วประเทศของเขาก็คงจะเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนทรานสแปซิฟิคที่หนุนโดยบรรษัทข้ามชาติจนได้”

การให้สัมภาษณ์แก่ ‘ว้อยซ์ออฟอเมริกา’ ทำนองน้อยใจที่สื่อมวลชนฝรั่ง “เขาไม่ใส่ใจ” น่าจะเป็นเพียง ‘แบบบทหยดย้อย’ ให้ตนเป็นที่ยอมรับของประเทศตะวันตกบ้าง ด้วยรู้ดีว่าสำหรับสหรัฐแล้วการยึดอำนาจคราวนี้ ต่างจากคราวที่แล้วเมื่อ ๒๕๔๙ แม้จะกระทำโดยทหารกลุ่มเดียวกัน นั่นคือเขาไม่ปล่อยเกาะคนที่ถูกรัฐประหารอย่างครั้งก่อน โดยเฉพาะ (ดัน) รู้ดีอีกว่าน้องนุชสุดท้องนั้นได้รับความนิยมมากกว่าพี่ชาย

นี่เองทำให้ ‘บทบาทหยาดเยิ้ม’ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล่าสุดหลังจากเข้าฟังการสืบพยานโจทก์นัดที่ ๖ คดีจำนำข้าวเมื่อวันเอพริลฟูลว่าถึงกรณี ‘ขันน้ำสีแดง’ ว่า “เชื่อว่าวันนี้เราอยากเห็นบรรยากาศสืบสานประเพณีไทยมากกว่าจะมองเป็นเรื่องของความมั่นคง”

(http://www.thairath.co.th/content/599648)





ยิ่งไปกว่านั้นอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนเดียวที่ประเทศไทยเคยมี พูดถึงสิ่งที่ผู้ยึดอำนาจไปจากเธอบอกว่า “ผมไม่เคยทำ” โดยจับอดีต ส.ส.ลูกพรรคของเธอสองคนไปปรับทัศนคติในห้องขนาด ๖X๑๐ หลายวัน หลายหน

แล้วยัง ผบ.ทบ.คนปัจจุบันไปพูดที่บางปูถึงการจัดทำหลักสูตรอบรมนักการเมืองที่มีความเห็นต่างกับรัฐบาล และ คสช.ว่า

“ขณะนี้ได้ร่างหลักสูตรดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยและพร้อมเปิดดำเนินการแล้ว แต่ยังหานักเรียนอยู่ ระยะเวลาการอบรม ๗ วัน...สำหรับพื้นที่จัดอบรมหลักสูตร ก็มีที่ค่ายทหารทั่วประเทศ ที่ จ.ปัตตานี และยะลาก็มีนะ”

(http://www.thairath.co.th/content/599846)

เรื่องนี้อดีตนายกฯ หญิงบอกว่า “ก็แล้วแต่ ไม่ขอคอมเม้นต์” แต่ว่ามีข้อคิดนี้ดนึง “ที่จัดแบบนี้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร หลังจัดแล้วได้รับประโยชน์ดีขึ้นหรือไม่ มากกว่าการที่เอามาแล้วมองว่าเป็นการจำกัดสิทธิ เสรีภาพ อยากให้เปิดโอกาสพูดคุยกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกันมากกว่า”

อ่า ใครจะว่าปูหือก็ช่างนะ ทว่า “ก่อนเดินทางกลับ มีประชาชนเตรียมดอกมะลิและน้ำไทยมาขอรดน้ำดำหัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ แต่บางส่วนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ายึดขันน้ำอบสีแดง”

ซึ่งไทยรัฐเขาก็เลยสนับสนุนเจ้าพนักงาน นำมาแจ้งให้ทราบทั่วกันว่า เจ้าหน้าที่ห้ามสื่อมวลชนเสนอข่าวดังกล่าว

เนื่องจากขันน้ำอบมีข้อความเขียนด้วยปากกาว่า “กูรักคนที่มึงเกลียด กูเกลียดคนที่มึงรัก...รักนายกฯ ปู”




ooo


เรื่องเกี่ยวข้อง...

'ทักษิณ' โพสต์ความเห็นเรื่อง 'ขันแดง'ใน instagram แซวว่า (ข่าวการตั้งข้อหาผิดมาตรา 116) เผลอๆจะดีเสียอีก เป็นข่าวดังไปทั่วโลกอดีตนายกไทย โดนข้อหาแจกขันน้ำ ทำลายความมั่นคงเนื่องในวันสงกรานต์ของไทย หรือว่ามันเป็นนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลนี้ ทำให้วันสงกรานต์ไทย โด่งดังไปทั่วโลก ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง


ภาพจาก thaksinlive instagram

thaksinliveเมื่อวานนี้ทหารบุกเข้าไปยึดขันน้ำ ที่สำนักงานอดีต ส.ส.น่าน ของพรรคเพื่อไทยทั้ง 3 ท่านครับ ขันน้ำอันไม่กี่บาท เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทุกวันสงกรานต์ ผมจะต้องทำของมาแจกทุกปีอยู่แล้ว แจกมาเป็นสิบๆรอบ ไม่เห็นเคยมีปัญหาทำให้ความมั่นคงของชาติ จะสั่นคลอนไปแต่อย่างใด 

วันนี้ทหารแจ้งว่าจะตั้งข้อหาผิดมาตรา 116 และคาดคั้นให้ ส.ส.ทั้ง 3 ตอบมาว่าขันใบนี้ได้มาจากไหน ขันก็ชื่อผม ส.ส.เพื่อไทยเป็นคนนำไปแจก ไม่เห็นต้องคาดคั้นกันให้มากความ จะตั้งข้อหาอะไรก็ตั้งมาเลย แล้วเอาเวลาไปดูแลพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยแล้ง เรื่องระเบิดภาคใต้ เรื่องยาเสพติดที่ระบาดเต็มเมืองให้คุ้มกับเงินภาษีอากร ที่เขาเสียให้พวกท่านจะดีกว่า โดนยัดข้อหามาหลายคดีแล้ว จะโดนข้อหาแจกขันน้ำ ทำลายความมั่นคงอีกสักกระทง จะเป็นไรไป 

เผลอๆจะดีเสียอีก เป็นข่าวดังไปทั่วโลกอดีตนายกไทย โดนข้อหาแจกขันน้ำ ทำลายความมั่นคงเนื่องในวันสงกรานต์ของไทย หรือว่ามันเป็นนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลนี้ ทำให้วันสงกรานต์ไทย โด่งดังไปทั่วโลก ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง